กรุงเทพฯ--24 พ.ค.--ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
คณะอนุกรรมการสร้างความรู้ ความเข้าใจและประชาสัมพันธ์การดำเนินการเกี่ยวกับ Corporate Governance ในประเทศไทย คณะกรรมการบรรษัทภิบาลแห่งชาติ ร่วมกับตลท.และกลต.ประกาศราย ชื่อบจ.ที่มีผลการประเมินในกลุ่มดี (Top Quartile) พบบจ.ในกลุ่มธุรกิจการเงิน (Financials) มีผลการประเมินดีเด่นถึง 23 บริษัท รองลงมาได้แก่กลุ่มบริการ 13 บริษัท
นายวิจิตร สุพินิจ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในฐานประธานคณะอนุกรรมการสร้างความรู้ ความเข้าใจและประชาสัมพันธ์การดำเนินการเกี่ยวกับ Corporate Governance ในประเทศไทย เปิดเผยถึงการจัดสัมมนาเรื่อง "ผลสำรวจบรรษัทภิบาลของบริษัทจดทะเบียนประจำปี 2546" ในวันนี้ (24 พฤษภาคม 2547) ว่า มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอผลการประเมินด้านบรรษัทภิบาลของบริษัท จดทะเบียนไทยตามโครงการ Baselining Corporate Governance Practices of Thai Listed Companies ที่ดำเนินการโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) โดยความสนับสนุนของตลท. และสำนักงานคณะกรรมการกลต.
"เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งว่าบริษัทต่างๆ ที่มีผลการประเมินดีอยู่ในกลุ่มดี (Top Quartile Companies) นั้นมีจำนวนถึง 85 บริษัท ใน 8 กลุ่มอุตสาหกรรม รวมทั้งกลุ่มอื่นๆ (Others) เพื่อเป็นการยกย่องบริษัทเหล่านี้ และเป็นข้อมูลให้แก่นักลงทุนและสาธารณชนได้รับทราบ โดยบริษัทที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงินที่ได้รับการประเมินดีเด่นถึง 23 บริษัท รองลงมาได้แก่กลุ่มบริการ 13 บริษัท และกลุ่มเทคโนโลยี 12 บริษัท"ประธานคณะอนุกรรมการฯ กล่าว
ด้านนายชาญชัย จารุวัสตร์ กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) กล่าวว่า "IOD ได้ดำเนินโครงการประเมินการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนไทยอย่างต่อเนื่องมาแล้วถึง 3 ปี โดยใช้หลักเกณฑ์การประเมินที่พัฒนาจากหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีของ Organization for Economic Cooperation and Development (OECD) และหลักการกำกับดูแลกิจการของตลท. ซึ่งจะทำใ ผลการประเมินบริษัทไทยเทียบกับมาตรฐานสากล ซึ่งจะทำให้ทราบถึงจุดแข็ง จุดอ่อนของบริษัทไทย เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ดีขึ้น"
ผู้อำนวยการสมาคมฯกล่าวต่อไปว่า "การประเมินผลตามโครงการนี้ จะใช้ข้อมูลจากเอกสารที่มีการ เผยแพร่สู่สาธารณชนเท่านั้น เพื่อให้ผลการประเมินที่ได้มีความเป็นกลาง และสามารถสะท้อนถึงมุมมองของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทจดทะเบียนไทยได้อย่างแท้จริง ซึ่งจะส่งผลให้โครงการนี้ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับประเทศและภูมิภาคว่าเป็นโครงการหนึ่งที่จะนำไปสู่การพัฒนาการกำกับดูแลกิจการที่ดีของประเทศไทยในวงกว้างต่อไป"
สำหรับวัตถุประสงค์ของการทำการประเมินก็เพื่อวัดผลการปฏิบัติด้านการกำกับดูแลกิจการของบริษัท จดทะเบียนในประเทศไทย โดยใช้หลักเกณฑ์ในการประเมินที่พัฒนาจากหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีของ OECD และหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีของตลท. รวมทั้งเพื่อนำเสนอผลการประเมินในภาพรวมเพื่อให้บริษัทจดทะเบียนโดยทั่วไปได้ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการกำกับดูแลกิจการของบริษัท และยังจะเป็นแนวทางสำหรับองค์กรที่เกี่ยวข้องในการพิจารณากำหนดนโยบายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลกิจการ และจัดทำรายงานผลเฉพาะบริษัท เพื่อเป็นข้อมูลให้กับแต่ละบริษัทได้ทราบถึงประเด็นที่เป็นจุดแข็งและจุดอ่อนที่จะต้องพิจารณาปรับปรุงของตนเองโดยเฉพาะ
"การประเมินผลตามโครงการนี้ จะใช้หลักเกณฑ์การประเมิน 5 หมวดหลัก ได้แก่ 1) สิทธิของผู้ถือหุ้น (Rights of Shareholders) 2) การปฏิบัติที่เท่าเทียมกันต่อผู้ถือหุ้น (Equitable Treatment of Shareholders) 3) บทบาทของผู้มีส่วนได้เสีย (Role of Stakeholders) 4) การเปิดเผยข้อมูลและความโปร่งใส (Disclosure and Transparency) และ 5) ความรับผิดชอบของคณะกรรมการ (Board Responsibilities) โดยข้อมูลที่ใช้ในการประเมินประกอบด้วยข้อมูลที่ได้จากรายงานประจำปี รายงานแบบ 56-1 หนังสือนัดประชุมและรายงานการประชุมผู้ถือหุ้น เว็บไซต์ ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทที่เผยแพร่ผ่านตลท.และกลต. รวมทั้งข้อมูลอื่นๆ ที่มีการเผยแพร่สู่สาธารณชน" นายชาญชัยกล่าวสรุป
สำหรับรายชื่อ 85 บริษัทจดทะเบียนที่ได้รับการประเมินอยู่ในกลุ่มดี ประกอบด้วยบริษัทในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร 6 บริษัท กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 4 บริษัท กลุ่มธุรกิจการเงิน 23 บริษัท กลุ่มวัตถุดิบและสินค้าอุตสาหกรรม 6 บริษัท กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง 10 บริษัท กลุ่มทรัพยากร 9 บริษัท กลุ่มบริการ 13 บริษัท กลุ่มเทคโนโลยี 12 บริษัท และกลุ่มอื่น ๆ 2 บริษัท รายชื่อตามเอกสารแนบ
ติดต่อส่วนสื่อมวลชนสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์ก8ร
ลดาวัลย์ กันทวงศ์ โทร. 0-2229 - 2036 /
กุลวิดา จินตกะวงส์ โทร. 0-2229 - 2037 /
ณัฐพร บุญประภา โทร. 0-2229 - 2049--จบ--
-นท-