ฟิทช์คงอันดับเครดิตของธนาคารยูโอบี (ไทย) ที่ ‘BBB+’ และปรับลดอันดับเครดิตความแข็งแกร่งทางการเงินเป็น ‘bb+’

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday May 2, 2012 16:22 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--2 พ.ค.--ฟิทช์ เรทติ้งส์ บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ ได้ประกาศคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (Long-term Foreign Currency Issuer Default Rating (LTFC IDR)) ของธนาคารยูโอบี (ไทย) จำกัด มหาชน (UOB (Thai)) ที่ ‘BBB+’ และปรับลดอันดับเครดิตความแข็งแกร่งทางการเงิน (Viability Rating หรือ VR) ลงมาอยู่ที่ ‘bb+’ จาก ‘bbb-’ อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Rating) ได้รับการคงอันดับที่ ‘AAA(tha)’ โดยธนาคารมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ รายละเอียดของอันดับเครดิตทั้งหมดแสดงอยู่ด้านล่าง อันดับเครดิตของ UOB (Thai) มีพื้นฐานมาจากการถือหุ้นและการให้การสนับสนุนของ United Overseas Bank (UOB; ‘AA-’/Stable) เมื่อพิจารณาถึงชื่อเสียงและฐานะทางการเงินของ UOB ฟิทช์เชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ UOB (Thai) จะได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้น หากมีความจำเป็น อันดับเครดิตภายในประเทศสะท้อนถึงมุมมองของฟิทช์ที่เห็นว่าหลักเกณฑ์การจำกัดสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติที่ 49% ของประเทศไทย ไม่น่าจะเป็นข้อจำกัดในการเพิ่มทุน เพื่อให้การสนับสนุนบริษัทลูกในประเทศไทยของ UOB ในกรณีที่มีความจำเป็น โดยเฉพาะในช่วงที่ธนาคารประสบปัญหาทางการเงิน การปรับลดอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเป็นผลมาจากความสามารถในการทำกำไรและคุณภาพสินทรัพย์ที่ค่อน ข้างด้อยกว่า เมื่อเทียบกับธนาคารอื่นๆที่มีอันดับเครดิตอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงข้อจำกัดในด้านความสามารถในการระดมเงินฝาก เนื่องจากเครือข่ายการดำเนินธุรกิจที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก ฟิทช์เชื่อว่าแม้ว่า UOB (Thai) จะสามารถได้รับการสนับสนุนในด้านสภาพคล่องจาก UOB ได้หากมีความจำเป็น แต่ UOB ก็ยังคงต้องการให้ธนาคารระดมเงินทุนด้วยตัวเอง ฟิทช์มองว่าธนาคารน่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1-2 ปีในการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรและพัฒนาคุณภาพสินทรัพย์ และน่าจะใช้เวลามากกว่านั้นในการเพิ่มศักยภาพด้านการระดมเงินทุน โดยเฉพาะในสภาวะที่มีการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดเงินฝาก อันดับเครดิตของ UOB (Thai) สะท้อนถึงระดับการสนับสนุนจากธนาคารแม่ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการพิจาณาอันดับเครดิต ดังนั้นการลดสัดส่วนการถือหุ้นหรือระดับการสนับสนุนของ UOB อาจส่งผลกระทบในทางลบต่ออันดับเครดิต นอกจากนี้จากการที่อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของ UOB (Thai) ถูกจำกัดโดยเพดานอันดับเครดิตของประเทศไทย (Country Ceiling) ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของเพดานอันดับเครดิตของประเทศ อาจส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตดังกล่าวของธนาคาร ฟิทช์มองว่าในระยะสั้นยังไม่มีปัจจัยใดที่จะสนับสนุนให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินได้รับการปรับขึ้น อย่างไรก็ตามหากเครือข่ายในการดำเนินธุรกิจมีการปรับตัวแข็งแกร่งขึ้นโดยไม่ทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น รวมทั้งคุณภาพสินทรัพย์และระดับของสำรองหนี้สูญปรับตัวดีขึ้น น่าจะเป็นผลดีกับอันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน UOB (Thai) มีระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 15.54% ณ สิ้น เดือนธันวาคม ปี2554 อย่างไรก็ตามอัตราส่วนดังกล่าวลดลงจากที่ระดับ 17.78% ณ สิ้นปี 2553 เนื่องจากการใช้กลยุทธ์การเติบโตของสินทรัพย์ในเชิงรุกมากขึ้น ในระยะยาวธนาคารวางเป้าหมายระดับเงินกองทุนไว้ที่ 14%-15% ซึ่งยังคงเป็นระดับที่สูงกว่าธนาคารอื่นในประเทศและต่างประเทศ แต่อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับความเสี่ยงในด้านสภาวะแวดล้อมการดำเนินงานและระดับความเสี่ยงโดยรวมของธนาคาร (risk profile) ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 7.5 พันล้านบาท หรือ 3.96% ของสินเชื่อรวม ณ สิ้น เดือนธันวาคม ปี 2554 เทียบกับ 8.6 พันล้าน หรือ 5.3% ณ สิ้นปี 2553 แต่ยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าธนาคารขนาดใหญ่ในประเทศ และธนาคารลูกของ UOB ในประเทศอื่นๆในเอเชีย อันดับเครดิตของธนาคารยูโอบี (ไทย) ที่ได้รับการคงอันดับมีดังนี้ - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวที่ ‘BBB+’ แนวโน้มมีเสถียรภาพ - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้นที่ ‘F2’ - อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินปรับลดลงเป็น ‘bb+’ จาก ‘bbb-’ - อันดับเครดิตสนับสนุนที่ ‘2’ - อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘AAA(tha)’ แนวโน้มมีเสถียรภาพ - อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ ‘F1+(tha)’

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ