รัฐมนตรีคลังอาเซียน+3 เห็นชอบการเพิ่มขนาดของมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilaterralisation : CMIM)

ข่าวทั่วไป Friday May 4, 2012 10:32 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--4 พ.ค.--สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย พร้อมด้วยนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 15 (ASEAN+3 Finance Ministers and Central Bank Governors’ Meeting) ซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ และประเทศสมาชิกในเอเชียตะวันออกอีก 3 ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2555 ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นการประชุมที่จัดขึ้นก่อนการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ครั้งที่ 45 โดยมีนายเคียต ชอน (Mr.Keat Chhon) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและการคลังกัมพูชา และนายบัค แจวอน (Mr.Bahk Jaewan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุทธศาสตร์และการคลังสาธารณรัฐเกาหลี เป็นประธานร่วมการประชุม ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้ 1. ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ แนวโน้มและความเสี่ยงต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อภูมิภาค โดยนายฮารุฮิโกะ คุโรดะ (Mr.Haruhiko Kuroda) ประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) ได้รายงานว่า ADB คาดการณ์เศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน+3 จะขยายตัวที่ร้อยละ 5.6-6.3 ซึ่งขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2554 ที่ร้อยละ 4.5 เป็นผลจากการขยายตัวเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ในแต่ละประเทศสมาชิก และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังประสบภัยธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ประเทศในภูมิภาคอาเซียน+3 ยังจะเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ (1) ภาวการณ์ถดถอยของเศรษฐกิจยูโรโซน (2) แนวโน้มเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และ (3) ความผันผวนของการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ 2. ที่ประชุมได้หารือถึงแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพของ “มาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี” (Chiang Mai Initiative Multilaterralisation : CMIM) ซึ่งเป็นกลไกช่วยเหลือทางการเงินระหว่างกันเองของประเทศสมาชิกในภูมิภาคอาเซียน+3 (Self-helped Mechanism) ในกรณีที่สมาชิกประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดจากปัญหาดุลการชำระเงินหรือขาดสภาพคล่องในระยะสั้น ซึ่งเป็นความช่วยเหลือที่เสริมเพิ่มเติมจากความช่วยเหลือทางการเงินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) จากการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ (Crisis Resolution Mechanism) ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2553 โดยแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพของ CIMM ใหม่ มีดังนี้ 2.1 การทบทวนหลักการสำคัญของCMIM เพื่อให้สามารถให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศสมาชิกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยเห็นชอบให้ (1) เพิ่มขนาดของCMIM จาก 120 พันล้านเหรียญสหรัฐเป็น 240 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นหลักประกันที่สำคัญเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาคมโลกถึงความแข็งแกร่งของอาเซียน+3 (2) เพิ่มสัดส่วนการให้ความช่วยเหลือส่วนที่ไม่เชื่อมโยงกับเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือของ IMF (IMF — De — Linked Portion ) จากร้อยละ 20 ในปัจจุบัน เป็นร้อยละ 30 ในปี 2555 และให้ทบทวนเพิ่มสัดส่วนเป็นร้อยละ 40 ในปี 2557 เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการให้ความช่วยเหลือ และทันต่อเหตุการณ์ในการแก้ไขปัญหาของประเทศสมาชิกและ (3) ขยายระยะเวลาในการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน (Supporting Period) ให้ยาวขึ้น 2.2 การจัดตั้งกลไกการให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อป้องกันการเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ (Crisis — prevention Facility) ของ CMIM เพิ่มเติมจากกลไกของCMIM ที่มีอยู่แล้วเดิม โดยให้กลไกที่จัดตั้งใหม่นี้ใช้ชื่อว่า “CMIM Precautionary Line (CMIM — PL)” เพื่อรับรองความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและของภูมิภาคในปัจจุบันที่อาจนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจได้ ซึ่งเป็นภาวะที่เป็นการป้องกันประเทศสมาชิกก่อนการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ และ สามรถบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจและ ได้มอบหมายให้คณะทำงานหารือในรายละเอียดที่เกี่ยวข้องต่อไป การแก้ไขหลักการสำคัญและการจัดตั้งกลไกการให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อป้องกันการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินระหว่างสมาชิกอาเซียน+3โดยจะทำให้มีความคล่องตัวและสามรถเข้าถึงความช่วยเหลือได้ง่ายขึ้นได้อย่างทันท่วงที ทั้งในกรณีที่มีแนวโน้มที่จะวิกฤตเศรษฐกิจ และภายหลังที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจแล้ว นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงินของกลุ่มประเทศอาเซียน+3 ที่แข็งแกร่ง เป็นรูปธรรม และแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังคงมีความผันผวนในปัจจุบัน 3. ที่ประชุมยังได้เห็นชอบการทบทวนกรอบการดำเนินใหม่ของการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย(Asian Bond Markets Initiatives : ABMI ) เพิ่มเติมจากแผน ABMI Roadmap ที่จัดทำเมื่อปี 2551 โดยเรียกว่า ABMI New Roadmap+ เพื่อจัดลำดับความสำคัญของงาน และเร่งการดำเนินงานที่ยังไม่มีความคืบหน้าให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว และรับทราบผลการดำเนินงานในภาพรวมของ ABMI โดยเพิ่มเติมความร่วมมือด้านพันธบัตรอื่นๆ ที่สำคัญได้แก่ ความร่วมมือในตลาดพันธบัตรรัฐบาล การสนับสนุนให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs) ออกตราสารหนี้ รวมถึงความร่วมมือในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของภูมิภาค เป็นต้น และได้เร่งรัดการดำเนินงานของกลไกการค้ำประกันเครดิตและการลงทุน(Credit Guarantee and Investment Facility : CGIF) ของภูมิภาคอาเซียน+3ซึ่งเป็นกองทุนที่สมาชิกได้ร่วมกันจัดตั้งมีขนาดวงเงิน 700 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อทำหน้าที่ในการค้ำประกันการออกตราหนี้ของภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการออกตราสารหนี้เพื่อระดมเงินทุนของภาคเอกชนรวมทั้งวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในภูมิภาคอาเซียน+3 4. ที่ประชุมได้รับทราบผลการศึกษาความเป็นไปได้ของความร่วมมือใหม่ 3 ด้านของอาเซียน+3 เพื่อขยายขอบข่ายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงินของภูมิภาคในอนาคต ได้แก่ (1) ความร่วมมือทางเงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภูมิภาค (2) การใช้เงินสกุลของภูมิภาค (Regional Currencies) สำหรับการค้าขายและการลงทุนในภูมิภาค และ (3) การจัดตั้งกลไก / กองทุนการประกันภัยที่เกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ (Disaster Insurance Scheme) ทั้งนี้ ตั้งเป้าหมายว่ารายงานผลการศึกษาฉบับสมบูรณ์ของความร่วมมือใหม่นี้จะแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน 2555 ซึ่งจะนำมาใช้ประกอบการกำหนดนโยบายและการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้เป็นรูปธรรมต่อไป 5. การประชุม AFMM+3 ครั้งต่อไปมีกำหนดจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2556 ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย โดยมีประเทศบรูไนดารุสซารามและสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นประธานร่วม อนึ่ง ก่อนหน้าการประชุม AFMM+3 ครั้งนี้ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2555 นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง ได้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน+3 (ASEAN+3 Finance and Central Bank Deputies’ Meeting : AFDM+3) เพื่อเตรียมการสำหรับการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 และรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานและมอบหมายนโยบายการดำเนินงานของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 ซึ่งเป็นสำนักงานที่จัดตั้งเพื่อทำหน้าที่ระวังภัยทางเศรษฐกิจในภูมิภาคและสนับสนุนการทำงานของ CMIM ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยจะประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน+3 รวมทั้งประเมินความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินในภูมิภาค ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการยกระดับฐานะของสำนักงานให้เป็นองค์กรระหว่างประเทศ สำนักการเงินการคลังอาเซียน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3684 โทรสาร. 02 273 9059

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ