กรุงเทพฯ--8 พ.ค.--ad2y
“ไฮไฟ โอเรียนท์” จับมือฟัน คาแรคเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล เจ้าของสิทธิ์ “ดิสนีย์” ในไทยออกสินค้ารุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น หวังสร้างสีสีนการตลาด-เพิ่มมูลค่าให้ลูกค้าที่ในวาระฉลองครบ 20 ปี พร้อมเปิดแผนยุทธศาสตร์รุกตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าปี’56 เตรียมนำเข้าเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์อันดับ 1 จากทั่วโลก ในแต่ละกลุ่มเข้ามาทำตลาดในไทยเสริมตลาดแบรนด์โลว์คอล “อะโคเนติก” ตั้งเป้าทำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 1 ในทุกประเภทสินค้า
นายไมเคิล มกร หลินสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฮไฟ โอเรียนท์ ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทผู้ผลิตและจดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ “อะโคเนติก” เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะใช้สินค้าที่สอดรับกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของตัวเองเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการผลิตสินค้าจึงต้องมีบุคลิกที่ชัดเจน และในโอกาสฉลองครบรอบ 20 ปีในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในปีนี้บริษัทจึงได้จับมือกับบริษัทฟัน คาแรคเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล(ประเทศไทย) จำกัด หรือ FCI ผู้บริหารลิขสิทธิ์ดีสนีย์ในประเทศไทย พัฒนาสินค้าให้มีสีสันหลากหลายมากขึ้น ด้วยการนำคาแร็คเตอร์สของดีสนีย์มาไว้บนเครื่องเล่นดีวีดีแบบพกพา (Portable DVD) รุ่น “ดีสนีย์” ซึ่งเป็นลิมิเต็ด เอดิชั่น
ทั้งนี้ มองว่าดีสนีย์เป็นคาแรคเตอร์อันดับหนึ่งของโลกที่มีความน่ารัก เป็นที่ชื่นชอบของคนจำนวนมาก และเหมาะกับสินค้าทุกกลุ่ม บริษัทจึงได้นำ 2 ดาราการ์ตูนชื่อดังสุดคลาสิคของดีสนีย์มาทำสินค้าได้แก่ มิกกี้เม้าส์และมินนี่เม้าส์ เพื่อให้ผู้บริโภคของบริษัทได้สินค้าที่เป็นไลฟ์สไตล์และมีคุณค่าเพิ่มขึ้นในราคาเท่าเดิมขณะเดียวกันน่าจะเป็นโอกาสดีที่จะทำให้สินค้าและแบรนด์ของบริษัทเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่เป็นฐานลูกค้าที่นิยมคาแรคเตอร์ดีสนีย์อยู่แล้วได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน
“ในวาระครอบรอบ 20 ปีของการดำเนินงานในปีนี้เราอยากทำอะไรที่พิเศษให้กับลูกค้า โดยจะออกสินค้ารุ่นดิสนีย์รวม 3 รุ่น จำกัดรุ่นละ 2,000 เครื่องเท่านั้น จำหน่ายในราคาตั้งแต่ 3,900-4,900 บาท ซึ่งเป็นราคาเดิมที่วางขายอยู่ในตลาดอยู่แล้ว แต่เราทำเพื่อให้ลูกค้ามีความรู้สึกว่าเขาได้สิ่งที่พิเศษกว่าปกติในราคาเท่าเดิม อย่างไรก็ตาม หากได้รับการตอบรับที่ดีก็พร้อมที่จะออกรุ่นใหม่ๆเพิ่มเติมอีก” นายไมเคิล กล่าว
นายไมเคิล ยังกล่าวถึงแผนยุทธศาสตร์สำหรับการดำเนินงานในปีนี้ด้วยว่า บริษัทจะผลักดันให้ทุกส่วนธุรกิจมีการเติบโตไปพร้อมๆกัน ประกอบด้วย 1. ธุรกิจบริหารแบรนด์ของตัวเอง (Own Brand) หรือโลว์คอลแบรนด์ ให้แข็งแกร่งและขึ้นเป็นผู้นำในตลาดในแต่ละกลุ่มสินค้า 2. ธุรกิจบริหารอินเตอร์ แบรนด์ให้มีความแข็งแกร่งขึ้นและ3. การลงทุนในธุรกิจโรงงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โดยในส่วนของโลว์คอลแบรนด์หรือแบรนด์ของตัวเองนั้น บริษัทจะมุ่งเน้นผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ “อะโคเนติก” ให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละยุคสมัย รวมทั้งมีฟังก์ชั่นที่แตกต่างและเหมาะสมกับพฤติกรรมของคนไทยและมีคุณภาพเหนือว่าคู่แข่งในตลาด เพื่อให้แบรนด์ “อะโคเนติก” ครองความเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในแต่ละกลุ่มสินค้าโดยเฉพาะการรักษาความเป็นผู้นำตลาดเครื่องใช้ ไฟฟ้าในกลุ่มเครื่องเล่นดีวีดี และบลูเรย์ดีวีดี
“เราจะเน้นทำการตลาดและทำโปรโมชั่นกับช่องทางขายและกลุ่มผู้ซื้อเป็นหลัก ทั้งกิจกรรม ณ จุดขาย จัดอีเวนต์ โรด์โชว์ ลด แลก แจก แถม เพื่อให้คู่ค้าและผู้บริโภคได้รับประโยชน์มากที่สุด” นายไมเคิลกล่าว และว่า อะโคเนติกเป็นแบรนด์ที่อยู่ในตลาดมานาน ผู้บริโภครู้จักและเชื่อมั่นในคุณภาพอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องทุ่มงบสำหรับสร้างแบรนด์ผ่านสื่อต่างๆหรือการมองหาฐานลูกค้าใหม่ในช่วงเวลาที่สินค้าต่างๆมีต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น
ส่วนธุรกิจบริหารอินเตอร์แบรนด์นั้น ขณะนี้บริษัทมีแผนที่จะนำเข้าสินค้าในหมวด White Goods ที่เป็นแบรนด์อันดับ 1 ในแต่ละกลุ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีก 3-4 แบรนด์ภายในปีนี้ จากปัจจุบันที่ทำตลาดเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้า “เวิร์ลพลู” แบรนด์อันดับ 1 จากอเมริกาเข้ามาทำตลาดอยู่แล้ว โดยคาดว่าจะสรุปและนำเข้ามาทำตลาดได้ 1 แบรนด์ในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งการมีพาร์ทเนอร์เพิ่มขึ้นจะทำให้บริษัทมีความแข็งแรงขึ้นด้วย
“ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ธุรกิจเรามีอัตราการเติบโตในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งเป็นผลมาจากจากแผนรุกตลาดเครื่องเล่นดีวีดีแบบพกพา (Portable DVD) โดยปีที่ผ่านมาเราเติบโตราว 20-30% เลยทีเดียว ซึ่งตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นตลาดที่ใหญ่มากคือ 80,000 ล้านบาท คาดว่าในปี 55 บริษัทฯ ตั้งเป้าเติบโตขึ้น 25-30% และตัวแปรที่ทำเราเติบโตอย่างแข็งแรงนั้นเป็นผลมาจาก 3 ส่วนหลักๆ คือ สินค้ามีคุณภาพที่ดี ราคาเหมาะสมกับผู้บริโภค และการบริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพ สำหรับปีนี้เชื่อว่าธุรกิจโดยรวมจะยังเติบโตได้ต่อเนื่องปัจจุบันเรายังคงความเป็นผู้นำติดอันดับ 1 ใน 3 ของเครื่องใช้ไฟฟ้าในหมวดนี้” นายไมเคิลกล่าว