กรุงเทพฯ--8 พ.ค.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” ซึ่งสะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในการเป็นผู้ประกอบการรายเดียวที่มีโครงข่ายท่อส่งน้ำดิบครอบคลุมพื้นที่ในเขตชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ตลอดจนลักษณะธุรกิจที่ผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาแข่งขันได้ยาก และความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่บริษัทมีรายได้ที่สม่ำเสมอและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวมีข้อจำกัดบางประการจากความต้องการเงินลงทุนที่สูง ตลอดจนผลกระทบที่คาดเดาไม่ได้จากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ และความเสี่ยงจากการมีกลุ่มลูกค้าที่ไม่หลากหลาย นอกจากนี้ กฎระเบียบเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ไม่ชัดเจนของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องยังเป็นประเด็นกังวลต่อความสามารถของบริษัทในการให้บริการที่เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงรักษาระดับความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดได้ต่อไป อีกทั้งการประกอบธุรกิจจะไม่ได้รับผลกระทบในทางลบจากการเปลี่ยนแปลงใดใดของนโยบายภาครัฐ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดหวังว่าบริษัทจะขยายธุรกิจโดยการเพิ่มภาระหนี้ด้วยความระมัดระวังและมีการติดตามตรวจสอบอย่างมีวินัย
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกก่อตั้งในปี 2535 ตามมติคณะรัฐมนตรีที่มอบหมายให้ภาคเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบการพัฒนาและดำเนินการดูแลระบบท่อส่งน้ำดิบในพื้นที่ 7 จังหวัดชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ปัจจุบันบริษัทเน้นให้บริการน้ำดิบในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทราเนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ การค้า และสังคมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังให้บริการน้ำประปาในเขตพื้นที่บริการอีก 11 เขตด้วย โดยในปี 2554 บริษัทมีรายได้รวม 3,310 ล้านบาท ทั้งนี้ รายได้จากการจำหน่ายน้ำดิบคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 68% และรายได้จากธุรกิจน้ำประปาคิดเป็น 23% ของรายได้รวม
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า นับตั้งแต่การก่อตั้งเป็นต้นมา พื้นฐานธุรกิจของบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกยังคงแข็งแกร่งเนื่องจากความต้องการใช้น้ำดิบของภาคอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกเติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ความต้องการใช้น้ำดิบผันแปรไปตามสภาพเศรษฐกิจโดยเห็นได้ในปี 2552 เมื่อยอดขายน้ำดิบลดลงตามสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทั้งนี้ ในปี 2554 รายได้จากการขายน้ำดิบของบริษัทเพิ่มขึ้น 6.6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาโดยอยู่ที่ระดับ 2,261 ล้านบาทเนื่องจากการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในพื้นที่มาบตาพุด รวมทั้งความต้องการที่สูงขึ้นของกลุ่มผู้บริโภค ในขณะเดียวกันรายได้จากธุรกิจจำหน่ายน้ำประปายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 6.4% ในช่วงปี 2554 อย่างไรก็ตาม บริษัทต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการมีลูกค้ารายใหญ่เพียงไม่กี่รายเนื่องจากยอดขายน้ำให้แก่การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นและลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทมีสัดส่วนถึงประมาณ 65%-70% ของยอดขายรวมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ กปภ. มีอำนาจในการต่อรองราคาน้ำดิบกับบริษัทโดยเห็นได้จากการที่บริษัทให้ส่วนลดบางส่วนแก่กลุ่มผู้ใช้น้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค รวมถึง กปภ. ในช่วงปี 2551-2554
นับตั้งแต่การก่อตั้ง บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกเช่าและดำเนินการบริหารโครงการท่อส่งน้ำดิบจำนวน 4 โครงข่ายซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลัง หลังจากนั้นบริษัทได้พัฒนาโครงข่ายการจ่ายน้ำอย่างต่อเนื่องเพื่อเชื่อมต่อโครงข่ายในทุกพื้นที่ที่ให้บริการ แม้ว่าการประกอบกิจการไม่ต้องใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน แต่การมีโครงข่ายที่ครอบคลุมนั้นจะต้องใช้เงินลงทุนสูงซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญในการเข้าสู่ธุรกิจประเภทนี้ ดังนั้น บริษัทจึงไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องของคู่แข่งทางตรงในธุรกิจน้ำดิบในอนาคตอันใกล้ โครงข่ายท่อส่งน้ำของบริษัทที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างสมบูรณ์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ รวมทั้งการสูบและส่งน้ำดิบจากแหล่งน้ำต่าง ๆ เพื่อจัดสรรให้แก่ลูกค้าในทุกพื้นที่ที่ให้บริการ โดยที่ความเสี่ยงสำคัญประการหนึ่งของธุรกิจการให้บริการน้ำดิบคือการจัดหาแหล่งน้ำ ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศนั้นมีผลต่อปริมาณน้ำฝน โดยฝนที่ตกในช่วงฤดูฝนจะเป็นการสะสมปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเพื่อใช้ตลอดปี นอกจากนี้ ความต้องการใช้น้ำดิบที่เพิ่มขึ้นยังส่งผลให้บริษัทต้องหาแหล่งน้ำแห่งใหม่ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ห่างไกลจากพื้นที่ให้บริการของบริษัท ดังนั้น ต้นทุนการสูบและส่งน้ำของบริษัทจึงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ ปริมาณน้ำที่จะนำมาใช้นั้นขึ้นอยู่กับการอนุมัติของกรมชลประทานซึ่งให้ความสำคัญกับภาคการเกษตรเป็นอันดับแรก อย่างไรก็ดี ในช่วงระหว่างปี 2554-2555 บริษัทได้รับการจัดสรรน้ำจากกรมชลประทานเพิ่มเติมจากอ่างเก็บน้ำดอกกรายจำนวน 20 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) และจากอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหลจำนวน 54 ล้าน ลบ. ม. สำหรับธุรกิจให้บริการน้ำประปาซึ่งแม้จะมีอุปสงค์เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ แต่โอกาสในการขยายธุรกิจในอนาคตยังอยู่ในระดับต่ำเนื่องจาก กปภ. ไม่มีนโยบายเปิดประมูลสัมปทานใหม่หรือให้เอกชนดำเนินการแทน
ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกเป็นผลมาจากการมีแหล่งรายได้ที่แน่นอนและอุปสงค์การใช้น้ำที่มีอย่างสม่ำเสมอ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายของบริษัทอยู่ที่ระดับ 54%-56% ในช่วงปี 2552 ถึงปี 2554 เงินทุนจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากระดับ 1,286 ล้านบาทในปี 2553 เป็น 1,368 ล้านบาทในปี 2554 อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลาดังกล่าว เงินกู้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 2,564 ล้านบาทในปี 2553 เป็น 2,984 ล้านบาทในปี 2554 เนื่องจากมีการลงทุนวางท่อส่งน้ำเส้นที่ 3 จากหนองปลาไหลไปยังมาบตาพุด ซึ่งส่งผลให้ ความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทเมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงเล็กน้อยจากระดับ 50% ในปี 2553 เป็น 46% ในปี 2554 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายยังคงแข็งแกร่ง โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 19.9 เท่าในปี 2553 สู่ระดับ 23.8 เท่าในปี 2554 เป็นผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นจากระดับ 28% ในปี 2553 เป็น 30% ในปี 2554 ทั้งนี้ คาดว่าภาระหนี้สินของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทมีแผนการกู้ยืมเพื่อนำเงินไปใช้ในการลงทุนบางส่วน โดยบริษัทมีแผนการลงทุนรวมมากกว่า 4,000 ล้านบาทในระหว่างปี 2555-2557 ในขณะที่บริษัทมีแนวโน้มที่จะคงนโยบายการจ่ายเงินปันผลประจำปี ทริสเรทติ้งกล่าว
บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) (EASTW)
อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ A+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่)