กรุงเทพฯ--31 พ.ค.--วช.
"เอชไอวี" เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ ซึ่งหากเข้าสู่ร่างกายจะไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันก่อให้เกิดสภาวะร่างกายอ่อนแอและติดเชื้อได้ง่าย การติดเชื้อเอชไอวีส่งผลกระทบต่อมารดาทั้งในระยะตั้งครรภ์ คลอด และหลังคลอด โดยเฉพาะมารดาที่ติดเชื้อเอชไอวีหลังคลอดบุตรจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการตกเลือดและติดเชื้อได้สูงต่างจากมารดาทั่วไป จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับการปรึกษาตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์ เพื่อจะได้ปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ตระหนักถึงสุขภาพอนามัย ของมารดาที่ติดเชื้อเอชไอวี จึงให้ทุนอุดหนุนการวิจัยแก่ นายอนุชิต นิติธรรมยา และคณะ จากโรงพยาบาลแม่และเด็ก ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพเขต 4 ราชบุรี ทำการวิจัยเรื่อง "ความพร้อมในการดูแลสุขภาพตนเองตามการรับรู้ของมารดาหลังคลอดบุตรที่ติดเชื้อเอชไอวี : กรณีศึกษาเฉพาะโรงพยาบาลแม่และเด็ก ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพเขต 4 ราชบุรี"
ผลการวิจัยพบว่า มารดาติดเชื้อเอชไอวีจากสามีที่มีพฤติกรรมสำส่อนทางเพศ อายุส่วนใหญ่ 21 - 30 ปี จบการศึกษาประถมศึกษา มีรายได้ต่อเดือนเฉลี่ย 5,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นมารดาที่คลอดบุตรเองตามธรรมชาติมีเพียงส่วนน้อยที่คลอดทางหน้าท้อง มารดาเหล่านี้มักจะไม่เจ็บป่วยจนต้องเข้า
โรงพยาบาลและไม่มีภาวะแทรกซ้อนหลังคลอดขณะอยู่ในโรงพยาบาล อีกทั้งรับรู้ถึงความพร้อมในการดูแลสุขภาพตนเองเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยกินอาหารครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มมึนเมา นอนหลับอย่างเพียงพอ มีการรับรู้ในการฝึกทำสมาธิเพื่อให้จิตใจสงบและทำกิจกรรมเพื่อผ่อนคลายความเครียด รวมทั้งมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคเอดส์ รวมทั้งมีการทำความเข้าใจร่วมกับสามีในการดูแลสุขภาพตนเองเกี่ยวกับการติดเชื้อเอชไอวีและคาดหวังให้สังคมช่วยเหลือ ตลอดจนมีการวางแผนการดำเนินชีวิตของตนเองกับบุคคลอื่น แต่อย่างไรก็ตามมารดาที่ติดเชื้อเอชไอวีจะรู้สึกตกใจ เสียใจ รวมทั้งรู้สึกว่าชีวิตของตนเองเปลี่ยนแปลงไป แต่จะไม่โทษสามีและยอมรับสภาพการติดเชื้อ มีความวิตกกังวลว่าบุตรจะติดเชื้อเอชไอวี
ผู้วิจัยสรุปและเสนอว่า มารดาหลังคลอดบุตรที่ติดเชื้อเอชไอวีรับรู้ถึงความพร้อมในการดูแลสุขภาพตนเอง ซึ่งการได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การผักผ่อนนอนหลับ จะทำให้มารดาสามารถกลับไปดูแลตนเองที่บ้านได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม--จบ--
-นท-