กรุงเทพฯ--9 พ.ค.--โฟว์ดี คอมมิวนิเคชั่น
- ชี้ทุกมิติของธุรกิจรับสร้างบ้านต้องปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต -
กลุ่มบริษัทซีคอน โฮม มองอนาคตธุรกิจรับสร้างบ้านเมืองไทยกำลังเดินสู่ยุค “อุตสาหกรรม รับสร้างบ้าน” ตามรอยอเมริกาและญี่ปุ่นในแบบฉบับ “สำเร็จรูป 100%” มุ่งลดปัญหาต้นทุนพุ่ง และการขาดแคลนแรงงาน แถมเสร็จไวไร้กังวลเรื่องมาตรฐานคุณภาพ เชื่อมั่นพื้นฐานธุรกิจ รับสร้างบ้านไทยในทุกมิติ พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลง
นางสาวศุภิชชา ชัยพิพัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ กลุ่มบริษัทซีคอน โฮม ผู้บุกเบิกธุรกิจรับสร้างบ้าน เมืองไทย เปิดเผยล่าสุดว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัท ซีคอน โฮม ในช่วง 4 เดือนแรก ของปี 2555 นั้นเป็นไปตามคาดการณ์คือสามารถสร้างยอดขายได้รวม 413 ล้านบาท รวม 109 หลัง ราคาเฉลี่ยต่อหลังอยู่ที่ 3.8 ล้านบาท โดยยอดขายดังกล่าวมาจาก ซีคอน โฮม 260 ล้านบาท รวม 41 หลัง ราคาเฉลี่ยต่อหลัง 6.3 ล้านบาท คอมแพค โฮม 131 ล้านบาท รวม 53 หลัง ราคาเฉลี่ยต่อหลัง 2.5 ล้านบาท และบัดเจท โฮม 23 ล้านบาท รวม 15 หลัง ราคาเฉลี่ยต่อหลัง 1.5 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคมีต่อมาตรฐานบริการของกลุ่มบริษัทซีคอน โฮม เป็นอย่างดี ท่ามกลางภาวะที่ผู้บริโภคระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่หลังภาวะอุทกภัย ครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 50 ปี
“การเปิดตัวแบบบ้านที่รองรับกระแสอุทกภัยในทุกกลุ่มระดับราคา ถือเป็นหมากสำคัญในการทำให้เรา เดินไปได้ตามเป้าในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา แต่ที่สำคัญที่สุดคือความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีต่อซีคอนที่ทำให้เรา ยังคงก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยเราถือเป็นผู้นำของธุรกิจรับสร้างบ้านเมืองไทยตั้งแต่แรกเริ่ม จนกระทั่งเพิ่มเติมในแง่บริการเพื่อความครบวงจร รวมถึงการพัฒนาระบบก่อสร้างกึ่งสำเร็จรูประบบซีคอน ที่ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตให้มีมาตรฐานคุณภาพจนได้รับ ISO 9001:2008 เพื่อให้ได้บ้านที่ แข็งแรงทนทานกว่าบ้านที่สร้างแบบหล่อในที่ ส่วนแบบบ้านเราได้พัฒนาให้มีความหลากหลายและตรงกับ กระแสนิยม พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาให้บริการแก่ลูกค้า อาทิ บริการ Seacon Home Delivery ทีมที่คอบให้บริการลูกค้าถึงที่ซึ่งเราทำมานานกว่า 3 ปีแล้ว นอกจากนี้ปัจจุบันเรายังเพิ่มช่องทาง ในการติดต่อผ่านเว็บไซต์เพื่อเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วในการติดต่อ ซึ่งปัจจุบันถือเป็นช่องทาง การสื่อสารหลักระหว่างบริษัทและลูกค้า” นางสาวศุภิชชา ชัยพิพัฒน์ กล่าว
ทั้งนี้ ท่ามกลางกระแสการปรับตัวสูงขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้าง รวมถึงปัญหาการขาดแคลน บุคลากรคุณภาพในธุรกิจก่อสร้าง ทำให้กลุ่มบริษัทซีคอน โฮม มองเห็นถึงอนาคตของทิศทาง ธุรกิจรับสร้างบ้านที่ต้องปรับตัวในทุกมิติ เพื่อรองรับปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยความพร้อม “ธุรกิจรับสร้างบ้านของไทยในอนาคต อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์รวมทุกมิติเพื่อสร้างความสมดุลย์ ระหว่างส่วนบริการและส่วนรับบริการ อาทิ มิติในเรื่องแบบบ้าน ต้องถูกออกแบบมาเพื่อรับกับภัยพิบัติ ทางธรรมชาติมากขึ้น ดังเช่นที่เราได้แนะนำสู่ตลาดไปแล้วด้วยแบบบ้านสายน้ำของคอมแพค โฮม และ แบบบ้าน Bangkok River ของซีคอน โฮม ซึ่งออกแบบมาเพื่อการอยู่อาศัยได้แม้น้ำท่วมหรือในอนาคต อาจจะพัฒนาออกแบบบ้านเพื่อต้านแผ่นดินไหว และอื่นๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ธุรกิจรับสร้างบ้านต้องใช้เป็น โจทย์ในการพัฒนาเพื่อตอบความต้องการลูกค้า มิติด้านวัสดุก่อสร้าง ที่ต้องปรับเปลี่ยนและถูกทดแทน ด้วยสินค้าเชิงนวัตกรรม และเป็นวัสดุทดแทนธรรมชาติมากขึ้น ก่อให้เกิดประโยชน์ในการใช้งานเพิ่มขึ้น และมีดีไซน์ที่สวยงามตามยุคสมัย มิติด้านระบบการก่อสร้าง ซึ่งพร้อมจะพัฒนาสู่การเป็นระบบก่อสร้าง แบบกึ่งสำเร็จรูปหรือสำเร็จรูป ซึ่งในต่างประเทศถือเป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะมีข้อดี คือ ต้นทุนถูกกว่า สร้างได้รวดเร็วและได้มาตรฐาน สวยงาม แข็งแรง และสามารถก่อสร้างได้ทุกฤดูกาล ซึ่งซีคอน โฮมเอง เป็นเจ้าแรกที่ใช้ระบบนี้ และยังมั่นใจว่าระบบก่อสร้างดังกล่าวเหมาะสมต่อวงการก่อสร้างของไทย ในอนาคตแน่นอน มิติด้านการให้บริการ ในอนาคตคงหนีการให้บริการแบบ One Stop Service ไม่ได้ ลูกค้ามาที่เดียวต้องได้รับบริการไปครบวงจร ทั้งสร้างบ้าน ตกแต่ง จัดสวน ทำรั้ว ซ่อมแซม ดัดแปลง ต่อเติม รวมไปถึงการติดต่อกับบริษัททำได้รวดเร็ว สะดวกสบาย ตรวจเช็คความคืบหน้างานก่อสร้าง ได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว หรือเลือกแบบบ้านได้ง่ายผ่านระบบออนไลน์หรือโปรแกรมเฉพาะทาง ซึ่งถือเป็น การพัฒนาตนเองในทุกๆ ด้าน เพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลงภายนอก นอกเหนือจากความต้องการของ ผู้บริโภคที่เป็นไปแบบเฉพาะทางมากขึ้น (Customized Service) และอีกปัจจัยหนึ่งที่ธุรกิจรับสร้างบ้าน เมืองไทยต้องตระหนักถึง นั่นคือ การที่ไทยเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) หรือ AEC ซึ่งจะทำให้แรงงานฝีมือ สถาปนิก หรือวิศวกรที่มากประสบการณ์สามารถ เปิดกว้างด้านทางเลือกในการทำงานมากขึ้น และก่อให้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงานตามมา ดังนั้น การนำเอาเทคโนโลยีมาช่วยจะสามารถช่วยลดแรงงานลงได้” นางสาวศุภิชชา ชัยพิพัฒน์ กล่าวแสดงความเห็น
ดังนั้น การเตรียมความพร้อมของธุรกิจรับสร้างบ้านเมืองไทยเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง ดังกล่าวนั้น นางสาวศุภิชชา กล่าวถึงการเตรียมพร้อมของ กลุ่มบริษัทซีคอน โฮม ต่อประเด็น ดังกล่าวว่า “กลุ่มซีคอน โฮม ต้องการสร้างโครงการการดำเนินธุรกิจในอนาคตให้ดำเนินไปในแบบที่ อเมริกาและญี่ปุ่นได้ดำเนินการมาอย่างประสบความสำเร็จ โดยจะมุ่งไปในการนำเสนอแบบบ้านมาตรฐาน ที่ตอบทุกความต้องการพื้นฐานของลูกค้าอย่างครบครันในแบบ “ระบบอุตสาหกรรรมก่อสร้าง 100%” หมายถึง การที่ทำทุกอย่างสำเร็จรูปจากโรงงาน อาทิ เสา, คาน, ผนัง, โครงหลังคา, ชุดบันได ฯลฯ แล้วยกมาประกอบหน้างาน ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาการก่อสร้างได้มากถึง 30% ลดการพึ่งพาฝีมือแรงงาน ได้มาก อาทิ ช่างก่ออิฐ ฉาบปูนซึ่งเป็นช่างฝีมือที่หาได้ยากที่สุดในปัจจุบัน รวมทั้งช่างผีมืออื่นๆ เช่น ช่างผูกเหล็ก เทคอนกรีต นอกจากนั้น การใช้วัสดุทดแทนธรรมชาติต้องเข้ามามีบทบาทมากขึ้น”
ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทซีคอน โฮม ถือเป็นบริษัทแรกของไทยที่ให้บริการด้านธุรกิจรับสร้างบ้าน และพัฒนารูปแบบบริการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังพัฒนานวัตกรรมด้านระบบก่อสร้างกึ่งสำเร็จรูป สำเร็จเป็นรายแรกของไทย และพร้อมที่จะนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมความคล่องและพัฒนา ศักยภาพมาตรฐานการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2555 กลุ่มบริษัทซีคอน โฮม ตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายไว้ที่ 1,400 ล้านบาท