กรุงเทพฯ--10 พ.ค.--MMM Digital Asset
เมื่อลูกเรือของยานโพรมีธีอุสลงจอดที่ดาวเอเลี่ยน ประเด็นสำคัญของคณะผู้เดินทาง คือพวกเขาได้พบกับบรรยากาศที่ไม่เหมาะจะพำนักอาศัย มีสภาพแห้งแล้ง และมีสิ่งประหลาดจากต่างแดนอันน่าประหลาดขนาดยักษ์ ผู้กำกับริดลีย์ สก็อตต์สร้างความเชื่อมั่นว่ามันจะไม่ดูเหมือนสิ่งที่เราเคยเห็นมาก่อนในหนังไซไฟ และการสร้างได้เดินทางยาวไกลเพื่อไปถ่ายทำที่ไอซ์แลนด์ ซึ่งเป็นสถานที่ห่างไกลที่เหล่านักแสดง ทีมงาน และอุปกรณ์ต่างๆ ต้องส่งผ่านไปทางเครื่องบิน
มีการเปิดเผยว่าสถานที่ใน Icelandic ไม่ใช่ตัวเลือกข้อแรก “เรามีการวางแผนว่าจะถ่ายทำที่มอร็อคโค” อาเธอร์ แม็กซ์ ผู้ออกแบบฉากเปิดเผย “แต่ด้วยความวุ่นวายทางการเมืองแห่งภูมิภาคทั้งหมดที่แอฟริกาเหนือ เราจึงไม่สามารถทำได้ เราใช้เวลาหาสถานที่อยู่หลายเดือนร่วมกับทุกคน ค้นหาสถานที่ทั้งหมดของพวกเราและทำการทบทวนใหม่อีกครั้ง”
การเปลี่ยนแปลงหมายถึงความงดงามที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิงของภาพลักษณ์ดวงดาว — ทะเลทรายของมอร็อคโคถูกแทนที่โดยสถานที่ซึ่งมีก้อนน้ำแข็งอันเหน็บหนาวของไอซ์แลนด์ “ครั้งแรกที่เราสำรวจสถานที่ในไอซ์แลนด์เป็นช่วงหน้าหนาวที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศา และมองไม่เห็นอะไรเลย” แม็กซ์จดจำได้ “แต่ขอบคุณพระเจ้าที่เราได้สำรวจสถานที่ไว้ก่อนหน้าแล้ว พอเรากลับไปเราได้กำหนดสถานที่ต่างๆ และพาริดลีย์ไปที่นั่น ซึ่งเขาชอบสถานที่เหล่านั้นด้วย”
นอกจากการใช้สถานที่ถ่ายทำที่ไอซ์แลนด์แล้ว การสร้างภาพยนตร์ได้ใช้โรงถ่าย 007 ใน Pinewood Studios ที่ชานเมืองลอนดอน ด้วยความยาว 374 ฟีตที่นั่นจึงเป็นโรงถ่ายที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และเล่ากันว่ามีพื้นที่ใช้สอยมากกว่า 59,000 ตารางฟุต ซึ่งสำหรับภาพยนตร์เรื่อง PROMETHEUS แล้วมันก็ถือว่ายังไม่ใหญ่มากพอ
การผลิตเริ่มขึ้นที่โรงถ่ายที่อยู่หลังฉาก มีการสร้างโรงเก็บพัสดุของโพรมีธีอุสและจำลองพื้นผิวของดวงดาวขนาดเล็กขึ้นมา พื้นที่ล้นออกมาเพื่อต่อเติมโครงสร้างที่จะบรรจุพีระมิดเอเลี่ยนสำหรับฉากภายใน ก่อนที่จะเชื่อมต่อเข้ากับพื้นที่หลักภายในโรงถ่าย 007 ในท้ายที่สุด
“มันไม่เคยยิ่งใหญ่มากพอ” สก็อตต์ถอนหายใจ “ผมเคยใช้สถานที่ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้วในเรื่อง LEGEND และผมก็เผามันวอดวาย จนตอนนั้นผมก็คิดว่า 'แย่ละ มันยาวไม่พอ'”
ท้ายที่สุดการสร้างต้องเพิ่มความยาวให้โรงถ่ายอีก 150 ฟีต “เมื่อเรามองจากมุมหนึ่งไปยังอีกมุมหนึ่ง ผมรู้ดีว่ามันมีขนาดใหญ่ไม่พอสำหรับฉากนี้” สก็อตต์กล่าว “ผมเกลียดการทำงานร่วมกับกรีนสกรีน ผมชอบให้เหล่านักแสดงมีพื้นที่หน้าเวทีและได้เห็นว่าพวกเขากำลังทำอะไร; ได้เห็นสถานที่เกิดเหตุที่พวกเขายืนอยู่ มันเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง การทำงานกับพวกบลูสกรีนแล้วสั่งว่า 'สัตว์ประหลาดกำลังวิ่งไล่ตรงทางเดิน!' มันน่าเบื่อมากจริงๆ”
“ขนาดมีความหมายว่าเราสามารถสร้างฉากการสำรวจที่มีความงดงามและยิ่งใหญ่ในนั้นได้” แม็กซ์อธิบาย “เรามีเครือข่ายของอุโมงค์ขนาด 250 ฟีต ห้องโถงขนาด 150 ฟีต และประตูที่สูงขนาด 25 ฟีตอยู่ที่นั่น”
สำหรับไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ ความใส่ใจเรื่องรายละเอียดในการออกแบบฉากพื้นผิวดวงดาวของสก็อตต์ไม่เป็นสองรองเรื่องอื่นเลย “คุณเข้าไปที่โรงถ่าย 007 หรือยัง?” เขาอุทานออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ “คุณต้องไปดูอุโมงค์อวกาศ มันเหมือนอย่างที่ผมเรียกเลย!”
ฉากที่มีความสมจริงทำให้งานของเขาในฐานะของนักแสดงง่ายขึ้น เขาอธิบายว่า “ความสุดยอดของริดลีย์อยู่ที่เขาจะทำบางอย่างกับการวางแผนงานหากมันได้ผลดี และยึดกรีนสกรีนไว้ตรงมุม เขารู้เรื่องเทคโนโลยีแต่จุดสำคัญของเขาอยู่ที่เขามีสัญชาตญาณ แม้แต่เรื่องเทคโนโลยีในหนัง คุณก็จะรู้สึกว่า 'ทุกอย่างช่างดูสมจริง '”
การเห็นฉากได้รอบ 360 องศาเป็นสิ่งที่สำคัญ เขาให้เหตุผลว่า “การมีสิ่งเหล่านี้อยู่รายล้อมเรามันมีส่วนช่วยอย่างไม่ต้องสงสัยเลย มันเหมือนกับการสวมเครื่องแต่งกาย หรือหากเราแสดงหนังพีเรียด การได้รายล้อมไปด้วยข้าวของที่พวกเขาใช้กันในยุคนั้น ทุกอย่างมีส่วนช่วยให้เราเข้าถึงระดับตัวละครได้ดีขึ้น หากไม่มีเราก็ต้องสร้างมันขึ้นมาเอง เพียงแต่ต้องใช้พื้นที่เล็กน้อยเพื่อให้เราทำงานได้”
อาร์เธอร์ แม็กซ์ เล่าว่าเขากับริดลีย์ สก็อตต์ได้เรียนรู้การทำงานร่วมกันมานานหลายปีในภาพยนตร์ เรื่อง GLADIATOR, KINGDOM OF HEAVEN และ BLACK HAWK DOWN ซึ่งบางครั้งมันก็ทำให้มีความสมจริงมากกว่าใช้เทคนิค CGI “ผมคิดว่าความสมดุลเป็นกุญแจบอกว่าเราควรสร้างเยอะแค่ไหน” เขากล่าว “เราต้องมีแนวโน้มพื้นฐานและเวลาที่เราคุยกับฝ่ายวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ เขาจะบอกเราว่าพวกเขาต้องการวัสดุอ้างอิงที่มากพอเพื่อสร้างผลงาน ตรงจุดนี้มีความยากเป็นพิเศษเพราะแทบทุกฉากจะมีองค์ประกอบที่มาจากการมองเห็น และทุกอย่างสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก เราไม่อาจเข้าไปที่โรงถ่ายหรือฉากที่เป็นบ้านได้”
จุดสำคัญของฉากเอเลี่ยนที่ Pinewood คือหัวขนาดยักษ์ที่มีความสูง 32 ฟีต ซึ่งมองเห็นได้ในโปสเตอร์ของภาพยนตร์ มันถูกสร้างขึ้นมาอย่างสมจริงโดยทีมงานของอาร์เธอรร์ แม็กซ์ “ไอเดียตรงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาด้านการกำหนดโครงสร้าง” แม็กซ์เล่าถึงเผ่าพันธุ์เอเลี่ยนที่เป็นจุดสำคัญของเรื่องราว “เผ่าพันธุ์ของผู้มาเยือนระหว่างดาวเคราะห์ทำให้เรามีการพัฒนาทั้งด้านจิตใจและทางร่างกายมานานกว่าพันปี”
การสร้าง “เนินพีระมิด” แม็กซ์อธิบายว่ามีลักษณะที่บรรยายเอาไว้ว่าเป็นพีระมิดในบทภาพยนตร์ แต่ความคิดขั้นสุดท้ายแตกต่างออกไปนิดหน่อย มีคำอธิบายที่ค่อนข้างขัดแย้ง — ใช้เวลา 16 สัปดาห์ในการสร้างให้เสร็จสมบูรณ์โดยผู้ชำนาญที่มากกว่า 200 คน
ในการพยายามทำความเข้าใจความเชื่อมโยงของโพรมีธีอุสกับเอเลี่ยน เอช.อาร์.ไกเกอร์ได้ออกแบบสัตว์เลื้อยคลาน โครงกระดูก และลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเอเลี่ยน Xenomorph แม็กซ์เล่าว่าเขาได้รับคำสั่งจากสก็อตต์มาอย่างชัดเจน “ริดลีย์บอกว่า 'ผมไม่อยากให้มันดูแบบไกเกอร์จนเกินไป แต่ก็ไม่อยากให้โยนทิ้งมันไปเลยเหมือนกัน”
แผนกศิลป์สังเกตจากผลงานการออกแบบของไกเกอร์ที่สร้างไว้ในภาพยนตร์เรื่อง ALIEN ภาคแรกในรูปแบบของแฟ้มที่ถูกจัดเก็บไว้ ซึ่งกู้มาจาก Motion Picture Academy Library และจากการสะสมโดยส่วนตัวของผู้ที่เคยร่วมงานในภาพยนตร์ภาคแรก ริดลีย์ยังแสดงผลงานของแนวภาพยนตร์ที่สมบูรณ์ที่สุดใเห็นอีกด้วย “เขารวบรวมการค้นคว้าหลายอย่างที่อิงมาจากภาพยนตร์ต้นฉบับและซีรี่ส์ทั้งหมด” แม็กซ์จดจำได้ “เราดูหนังเหล่านั้นทั้งหมด ริดลีย์ฉาย ALIEN และ BLADE RUNNER รวมถึงหนังอีกหลายเรื่องที่มีคำว่า 'STAR' อยู่ในชื่อเรื่อง มันมีอยู่สามเรื่อง ผมจะให้คุณจินตนาการว่าเป็นเรื่องไหน!”
การดูวัสดุที่ใช้อ้างอิงเป็นการพบสิ่งที่ห้ามทำหลายอย่าง “เราไม่อยากสร้างให้เหมือนกับหนังเหล่านั้นเลยสักเรื่อง” แม็กซ์อธิบาย “เราอยากให้มีความแปลกใหม่ เพราะผมเกลียดการยอมรับสภาพ ไม่อย่างนั้นมันทำให้เราล้าสมัย เราเลือกที่จะสร้างให้มันเกี่ยวข้องกับชีววิทยาน้อยลงในด้านลักษณะของดาวเอเลี่ยน และให้มีความเป็นเครื่องจักรมากขึ้น”
แม็กซ์กล่าวสรุปถึงหัวใจหลักของความท้าทายเรื่องสภาพแวดล้อมจากต่างดาวว่า “คนที่อาศัยอยู่ในดาวดวงนี้เรียกว่าผู้สร้าง และเทคโนโลยีของพวกเขาก้าวล้ำกว่าสิ่งที่เรารู้จักหรือเข้าใจได้ แต่มันต้องมีลักษณะที่น่าสนใจด้วย ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นความท้าทายที่ยากมากเหมือนกัน เพราะเราต้องแข่งกับสัตว์ประหลาดที่เป็นเอกลักษณ์ของหนังไซไฟตลอดกาล การพยายามสร้างบางอย่างขึ้นมาเพื่อให้เหนือกว่าคือความสำคัญที่แท้จริง”
Prometheus - โพรมีธีอุส เข้าฉายในวันที่ 7 มิถุนายนนี้ นำแสดงโดย นูมี ราเพซ , ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ , แพททริค วิลสัน , ไอดริส เอลบา และ ชาร์ลิซ เธอรอน กำกับภาพยนตร์โดย ริดลีย์ สก็อตต์ และมาร่วมอัพเดทข้อมูล Prometheus - โพรมีธีอุส ก่อนใครได้ที่ https://apps.facebook.com/starmap_th/