กรุงเทพฯ--31 พ.ค.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกัน 400 ล้านบาทของ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "BBB+" โดยสะท้อนถึงชื่อเสียงและประสบการณ์ของบริษัทในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ระดับปานกลาง ความสามารถในการควบคุมต้นทุนการดำเนินงาน นโยบายทางการเงินที่ระมัดระวัง และความเข้มแข็งทางการเงินของบริษัท อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากโครงสร้างการบริหารงานของบริษัทที่เน้นพึ่งพิงตัวบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของกิจการ และความเสี่ยงของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความผันผวนและมีการแข่งขันค่อนข้างสูง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางที่ก่อตั้งในปี 2531 โดยนายทวีศักดิ์ วัชรรัคคาวงศ์ และนายไชยยันต์ ชาครกุล ซึ่งมีสถานภาพเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทรวมกันประมาณ 68% ณ สิ้นปี 2546 โดยมีนายไชยยันต์ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการและเป็นผู้กำหนดนโยบาย ทิศทาง และกลยุทธ์ของบริษัท บริษัทดำเนินกิจการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยโดยเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ปานกลาง ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 24 แห่ง และได้ส่งมอบบ้านไปแล้วมากกว่า 7,800 หลัง โดยมีบ้านเดี่ยวในสัดส่วนสูงที่สุดประมาณ 71% ของยอดขายบ้านทั้งหมดของบริษัทในปี 2546 โดยบริษัทได้ขยายโครงการให้ครอบคลุมพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลทั้งหมด บริษัทประสบความสำเร็จในการซื้อสินทรัพย์รอการขายของสถาบันการเงินมาพัฒนาใหม่ ต้นทุนค่าที่ดินที่ต่ำช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของบริษัทรวมทั้งเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด กลยุทธ์ด้านราคาประกอบกับประสบการณ์ด้านการควบคุมการก่อสร้างทำให้บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับราคาปานกลางระหว่าง 2-6 ล้านบาท ในปี 2546 บริษัทได้ส่งมอบบ้านจำนวน 1,335 หลังซึ่งคิดเป็นรายได้รวม 3,130 ล้านบาท โดยใช้ยุทธ์การขายบ้านระหว่างสร้างกว่า 50% ของบ้านที่สร้าง ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทั้งบริษัทและลูกค้า โดยลูกค้ามีความมั่นใจมากขึ้นเนื่องจากบ้านได้ก่อสร้างไปแล้วบางส่วน และบริษัทสามารถลดความเสี่ยงด้านการขายและมีรายได้จากลูกค้ามาใช้เป็นทุนหมุนเวียนภายในโครงการ
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทลลิล พร็อพเพอร์ตี้เติบโตอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2544 โดยมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในปี 2546 ที่ระดับ 3,130 ล้านบาท ซึ่งเกือบเป็น 3 เท่าของรายได้ของบริษัทในปี 2544 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 8.4% ในปี 2544 เป็น 27.6% ในปี 2545 และ 33.4% ในปี 2546 บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่แข็งแกร่งที่ระดับ 221.4% ในปี 2546 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายปรับเพิ่มขึ้นเป็น 64.9 เท่าในปี 2546 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 14.4 เท่าในปี 2545 และ 4.4 เท่าในปี 2544 โดยภาระหนี้ที่ต่ำและเงินทุนที่เพิ่มขึ้นจากการขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ในปี 2545 ทำให้บริษัทมีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ระดับ 13.3% ซึ่งลดลงจาก 36.6% ในปี 2544 และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 8.6% ในปี 2545
ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่มีวงจรผันผวนสูงกว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ความต้องการที่อยู่อาศัยคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ดีแม้ว่ามาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลจะยุติลงในปี 2546 ก็ตาม ทั้งนี้ คาดว่าราคาบ้านจะปรับตัวขึ้น 5%-10% ในอนาคตเนื่องจากผู้ประกอบการมีต้นทุนด้านวัสดุก่อสร้าง เช่น เหล็ก และปูนซีเมนต์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะเดียวกันกับที่มีภาระด้านภาษีธุรกิจเฉพาะและภาษีการโอนอสังหาริมทรัพย์ที่สูงขึ้นด้วย การแข่งขันในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลอยู่ในระดับที่สูงขึ้นเนื่องจากการกลับเข้าสู่ธุรกิจของผู้ประกอบการรายเก่าที่ปรับโครงสร้างกิจการเสร็จสิ้นแล้วและการเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่ ทริสเรทติ้งกล่าว--จบ--
-นท-