เอสซี แอสเสท ชี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ มีความสมดุลทั้งดีมานด์และซัพพลาย หลังจากที่กำลังซื้อทะลักในช่วงปี 2546

ข่าวทั่วไป Thursday June 3, 2004 08:22 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--3 มิ.ย.--โอเอซิส มีเดีย
เอสซี แอสเสท ชี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ มีความสมดุลทั้งดีมานด์และซัพพลาย หลังจากที่กำลังซื้อทะลักในช่วงปี 2546 วางกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง 2547 บริหารทุน ที่ดิน รายได้ และทำเล ให้สอดรับกับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลง
นายสุรเธียร จักรธรานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอสซี แอสเสท คอรปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยถึง ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2547 ที่ผ่านมาว่า เป็นปีแห่งการปรับเข้าสู่สภาวะปกติโดยมีความสมดุลทั้งในแง่ดีมานด์และซัพพลาย หลังจากที่ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคได้สะสมมาตั้งแต่ช่วงภาวะเศรษฐกิจไม่ดี จึงทำให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงปี 2546 มีสูงมาก และยังคงมีปัจจัยบวกมากกว่าปัจจัยลบ
ปัจจัยบวก คือ จากการที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ และลดความร้อนแรงลงในเวลาอันรวดเร็ว ส่งผลให้ธุรกิจนี้ไม่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นผลดีต่อธุรกิจนี้ในช่วงระยะกลางและระยะยาว และภาวะถดถอยที่แท้จริงจะยืดระยะเวลายาวออกไปอีก จากที่ประมาณการว่าจะเกิดขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งในเรื่องนี้ทำให้ผู้ประกอบการสามารถคาดการณ์ถึงภาวะที่เปลี่ยนไป และวางแผนได้ล่วงหน้า หรืออีกทั้งในส่วนของต้นทุนวัสดุก่อสร้างและราคาน้ำมันจะมีแนวโน้มปรับราคาสูงขึ้น แต่สามารถคาดการณ์ได้ถึงทิศทางที่ชัดเจนและสามารถบริหารต้นทุนได้มากกว่าปีที่ผ่านมา สำหรับโอกาสการเกิดของผู้ประกอบการรายใหม่ ( New Entry) คาดว่าจะมีลดลง เนื่องจากจะถูกจำกัดจากระบบการปล่อยสินเชื่อของของสถาบันการเงินและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อบริษัทที่เป็นมืออาชีพ โดยในช่วงเวลาระยะกลางต่อเนื่องไปถึงระยะยาว ธุรกิจนี้จะเหลือแต่บริษัทรายกลางและรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทที่ฐานการเงินไม่แข็งแกร่งจะเสียเปรียบบริษัทที่ฐานการเงินเข้มแข็ง และถูกเบียดออกจากตลาดไปในที่สุด
" แม้ว่าตลาดที่อยู่อาศัยบางประเภทเริ่มอิ่มตัว ขณะที่ความต้องการที่อยู่อาศัยในภาพรวมยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง คาดว่าไม่ต่ำกว่า 50,000-60,000 ยูนิตในปีนี้ และจากสภาพคล่องล้นระบบ ส่งผลให้สถาบันการเงินได้เร่งทำการตลาดเพื่อปล่อยสินเชื่อสนับสนุนการซื้อที่อยู่อาศัย นอกจากนี้คาดว่าโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPA) มีโอกาสที่จะกลับเข้ามาสู่ตลาดอีกครั้ง ในราคาที่สมเหตุสมผลและแข่งขันตามความเป็นจริงได้ และอาจมี NPA รอบใหม่จากบริษัทที่ขาดสภาพคล่อง ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีของบริษัทเอสซี แอสเสทฯ ที่จะหาช่องว่างทางการตลาด เพื่อเปิดโครงการใหม่ในระยะเวลาที่สั้นลง " นายสุรเธียร กล่าว
ส่วนปัจจัยลบต่อธุรกิจ แบ่งได้เป็น 4 เรื่องใหญ่ ดังนี้ 1.ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนค่าก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะค่าถมดินและค่าขนส่ง ซึ่งปัจจัยนี้ยังส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวลง และกระทบต่อกำลังซื้อที่ลดลงด้วย 2.อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย คาดว่าประมาณ 0.25-0.5 % จะกระทบต่อต้นทุนทางการเงิน โดยเฉพาะบริษัทที่มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนสูง นอกจากนั้นยังส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยทุกๆ 0.5 % ของอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้กำลังซื้อลดลง ประมาณ 6 % ทำให้ฐานราคาบ้านอาจต้องปรับตัวลดลง 4.ธุรกิจอสังหาฯที่ไม่มีรายได้ประจำจากการเช่า หรือรายได้ระยะยาวจะถูกกระทบอย่างหนักต่อยอดขายที่ลดลง ก่อให้เกิดปัญหาสภาพคล่อง 4.เกิดสงครามราคาจากบริษัทที่เริ่มขาดสภาพคล่อง หรือบริษัทที่มีหนี้สินต่อทุนค่อนข้างสูง หรือบริษัทที่มีสินค้าค้างสต็อกจำนวนมาก
ตลาดที่อยู่อาศัยบางประเภทเริ่มโอเวอร์ซัพพลาย เช่น โครงการคอนโดมิเนียมระดับสูง และมีโอกาสเกิดการแข่งขันเรื่องของราคา เนื่องจากผู้ประกอบการบางรายจำเป็นต้องเร่งยอดโอนเพราะขาดเงินทุนหมุนเวียน และแก้ไขสภาพคล่อง ส่วนปัจจัยเรื่องของอัตราดอกเบี้ยและราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากจะส่งผลกระทบด้านจิตวิทยาแล้ว ยังมีผลทำให้กระบวนการตัดสินใจซื้อของกลุ่มเป้าหมาย ใช้เวลามากขึ้นอีกด้วย เนื่องจากขาดปัจจัยเร่งอย่างปีที่แล้ว รวมทั้งได้รับผลกระทบด้านต้นทุนการพัฒนาที่ดิน เช่น ราคาบ้าน ราคาวัสดุ อาจมีผลทำให้ลูกค้าเกิดความลังเลที่จะตัดสินใจซื้อในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ
นายสุรเธียรกล่าวต่อว่า จากปัจจัยภายนอกดังกล่าวข้างต้น บริษัท ฯ จึงได้มีการวางกลยุทธ์ในการดำเนินงาน เพื่อให้รองรับการปรับเปลี่ยนของสภาพธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เปลี่ยนไป โดยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2547 บริษัทฯ จำเป็นต้องมีการบริหารงานที่ระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะการเจาะหาตลาดใหม่ ๆมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการที่ยังคงมีโอกาส และช่องว่าทางการตลาดสูง
นอกจากนี้ยังคงพัฒนาโครงการที่ก่อให้เกิดรายได้ระยะยาวมากขึ้น เนื่องจากทำเลที่ตั้งของโครงการจัดสรรของบริษัทฯ ส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตที่ขยายออกไปในอนาคต บริษัทฯจึงเตรียมแผนงานที่จะพัฒนาโครงการใหม่ให้สอดคล้องกับมูลค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นในอนาคต และยังรวมถึงโอกาสที่จะเข้าไปพัฒนาทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPA) มาฟื้นฟูใหม่ ซึ่งถือเป็นความชำนาญของบริษัทอยู่แล้วในการที่จะเข้าไปส่งเสริมทรัพย์สินให้มีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งการเข้าไปร่วมทุน (Joint venture) กับสถาบันการเงินหรือองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อร่วมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น คาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ในเร็ว ๆนี้
ข้อได้เปรียบของบริษัทฯ คือ การมีฐานการเงินที่แข็งแกร่ง และรายได้ของบริษัทจะมีทั้งรายได้ระยะสั้นที่เกิดจากการขาย และรายได้ระยะยาวที่เกิดจากโครงการให้เช่า ซึ่งเป็นจุดที่สร้างความมั่นใจได้ว่า บริษัทจะได้รับผลกระทบไม่มากหากภาวะเศรษฐกิจถดถอยลง ตลอดจนการที่บริษัทมีความหลากหลายทั้ง โครงการประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน โดยกระจายไปในหลายๆ ทำเลที่มีศักยภาพ และยังคงเป็นผู้นำในการพัฒนาที่อยู่อาศัยนวัตกรรมใหม่ ๆ มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย เน้นความเป็น ihome และ Energy saving ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ทำให้บริษัทฯ มีความแตกต่างและมีคุณภาพที่ดี เป็นที่ต้องการและยอมรับของผู้บริโภคต่อไป
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ บริษัท โอเอซิส มีเดีย จำกัด
คุณภัทธิรา บุรี หรือ คุณฤดี ธรรมเทียร ที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์
โทรศัพท์ 0-2937-4000 ต่อ 2068 หรือ 0-2937-4658-9 , 0-2937-4735 ต่อ 16-17
โทรสาร. 0-2937-4658 ต่อ 18
Email : patthira@oasismedia.co.th, ruedee@oasismedia.co.th--จบ--
-นท-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ