กรุงเทพฯ--15 พ.ค.--โฟร์ฮันเดรท
ข้าวหงษ์ทอง รีแบรนด์ครั้งใหญ่ ทุ่ม 30 ล้าน เขย่าตลาดข้าวถุงมูลค่า 20,000 ล้านบาท สร้างความแข็งแกร่งให้ “ครอบครัวหงษ์” ปรับเพคเกจจิ้ง และปรับกลยุทธ์สร้างการรับรู้แบบชัดเจน และลุยตลาดข้าวขาว ส่งครอบครัวหงษ์ตีตลาดมุ่งเจาะกลุ่มคนกินข้าว 4 กลุ่มหลัก ข้าวหอมมะลิ ตราหงษ์ทอง ข้าวหอมผสม ตราหงษ์ทิพย์ ข้าวขาว ตราหงษ์ไทย และข้าวสุขภาพ ตราหงษ์ทองไลฟ์ พร้อมสร้างนวัตกรรมให้คนไทยซื้อข้าวได้ถูกใจ กับ“ฉลากมาตรฐานข้าว ดูตรงนี้...อร่อยแน่” เปิดศูนย์ R.I.C.E เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวอย่างยั่งยืน หวังปี 2555 เติบโต 25% และก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดข้าวถุงเบอร์ 1 ทุกตลาดได้แน่นอน
นางโสพรรณ มานะธัญญา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจียเม้ง มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิต และจำหน่ายข้าวแบรนด์ “หงษ์ทอง” เปิดเผยว่า ปัจจุบัน “ข้าวหงษ์ทอง” มีความแข็งแกร่งในตลาดข้าวหอมมะลิ และตลาดข้าวสุขภาพ หรือข้าวกล้อง โดยหงษ์ทองเป็นผู้นำในทั้งสองตลาด ขณะเดียวกันในตลาดข้าวขาวยังไม่ได้เข้าทำตลาดมากนัก แต่ก็เป็นตลาดใหญ่ที่ยังมีโอกาสทางการตลาดอยู่มาก จึงทำให้ปีนี้บริษัทฯ มองเห็นช่องทางตลาดที่มีโอกาสเติบโตสูงในตลาดข้าว จึงได้วางกลยุทธ์ด้วยการ รีแบรนด์ “ครอบครัวหงษ์” ให้ตรงกับกลุ่มข้าวทั้ง 4 กลุ่มหลัก คือ ข้าวหอมมะลิ ตราหงษ์ทอง เป็นข้าวหอมมะลิ 100% เกรดพรีเมียม ข้าวหอมผสม ตราหงษ์ทิพย์ เป็นข้าวหอมเกรดรองราคามาตรฐาน ข้าวขาว ตราหงษ์ไทย ข้าวขาวนาปีเกรดพรีเมี่ยม และข้าวสุขภาพ ตราหงษ์ทองไลฟ์ ข้าวกล้องซูเปอร์พรีเมี่ยม ทั้งนี้จะใช้แบรนด์ “หงษ์ทอง” เป็นแบรนด์นำเพื่อดึงแบรนด์ใหม่ทั้ง 3 แบรนด์ ภายใต้ครอบครัวหงษ์ โดยยังคงยึดถือเรื่องคุณภาพ และมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ระดับเดียวกันกับ หงษ์ทอง อีกทั้งการออกแบบบรรจุภัณฑ์และการสื่อสารไปในทิศทางเดียวกัน จะสามารถช่วยสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภค และสร้างยอดขายในกลุ่มข้าวขาว และข้าวหอมผสมได้มากขึ้น โดยที่แต่ละแบรนด์ของครอบครัวหงษ์ จะมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนกัน ไม่มีแบรนด์ใดด้อยไปกว่ากัน
นางโสพรรณ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันคนไทยในตลาดบริโภคข้าวหอมมะลิกว่า 41% และข้าวขาวในประมาณใกล้เคียงกันกว่า 40% ข้าวหอมผสมประมาณ 10% ที่เหลือก็จะเป็นข้าวกล้องและข้าวอื่น ๆ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ข้าวหอมมะลิถือเป็นกลุ่มที่ขายดีที่สุดของบริษัทฯ มีสัดส่วนการขายกว่า 80% และมีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 20% รองมาจะเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ข้าวสุขภาพ โดยมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 10% ในมูลค่าตลาดข้าวถุงมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท
บริษัทฯ ได้ทำการวิจัยผู้บริโภคในการเลือกซื้อข้าวบรรจุถุง ปรากฏว่าผู้บริโภคมีความเข้าใจเรื่องชนิดข้าวน้อย ทำให้เลือกซื้อข้าวแล้วไม่ถูกใจ ไม่ตรงกับความต้องการ เช่น อยากทานข้าวนุ่ม หอมอร่อย แต่กลับซื้อมาเป็นข้าวแข็ง หรือ บางคนอยากกินเป็นข้าวขาวหุงเป็นตัวร่วนฟูขึ้นหม้อ แต่กลับไปได้ข้าวแฉะๆ ผิดหวังกับการเลือกซื้อข้าวไม่รู้จะเลือกอย่างไร ดังนั้นบริษัทฯ จึงได้สร้างนวัตกรรมใหม่ของการเลือกซื้อข้าว โดยกำหนด“ฉลากมาตรฐานข้าว” บนบรรจุภัณฑ์ทุกถุงของครอบครัวหงษ์ ซึ่งจะบ่งบอกคุณสมบัติของข้าวแต่ละชนิด แต่ละเกรดตามความเป็นจริงของคุณภาพข้าวที่อยู่ในถุง อาทิ ข้าวหอมมะลิ หุงแล้วจะนุ่ม หอมละมุน เต็มเมล็ด และหุงขึ้นหม้อ, ข้าวขาวก็ต้องหุงขึ้นหม้อ ร่วน ฟู เย็นแล้วไม่แข็ง เต็มเมล็ดเป็นต้น ดังนั้นเราจึงทำฉลากมาตราฐานข้าวให้เข้าใจง่ายและเชื่อถือได้ ตั้งแต่นี้ต่อไปหากจะเลือกซื้อข้าวให้ตรงอย่างที่อยากได้ให้ดูฉลากมาตรฐานข้าว เพื่อจะสร้างความมั่นใจแก่ท่านว่า ดูตรงนี้ได้ข้าวอย่างที่ท่านต้องการ “ดูตรงนี้…อร่อยแน่”
นอกจากนี้ ผู้บริหารของบริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด และบริษัท เจียเม้งมาร์เก็ตติ้ง จำกัด เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมข้าว ให้เป็นที่รู้จัก แพร่หลาย แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมข้าว หรือคนสนใจทั่วไป เพื่อความเข้าใจและมีการพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวอย่างยั่งยืน จึงได้จัดตั้งศูนย์ความรู้และพัฒนาข้าวเพื่อการศึกษา R.I.C.E หรือ Rice Intelligence Center of Education เพื่อเป็นศูนย์ที่จะช่วยเผยแพร่ความรู้ด้านการเพิ่มผลผลิตแก่ชาวนา ทั้งยังเผยแพร่ความรู้ด้าน การปลูก การผลิต การบริโภค ให้แก่สถาบันศึกษาและผู้สนใจ (From Farm to Table) และความรู้ด้านนวัตกรรมอาหารจากข้าวให้มีมูลค่าเพิ่ม และช่วยสนับสนุนนักวิจัยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ทำจากข้าวอีกด้วย
“การรีแบรนด์ในครั้งนี้ของ “ครอบครัวหงษ์” ได้ใช้งบประมาณกว่า 30 ล้านบาท สำหรับการสื่อสารการตลาดทั้ง Below the line & Above the line โดยเน้นการสร้างการรับรู้เรื่องรีแบรนด์ และฉลากมาตรฐานข้าว ณ จุดขาย และสื่อโฆษณาเพื่อสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายผู้หญิง แม่บ้าน วัยทำงานอายุ 25 — 40 ปี” นางโสพรรณ กล่าวสรุปในตอนท้าย