MovieHYSTERIA ประดิษฐ์รัก เปิดปุ๊ปติดปั๊ป

ข่าวบันเทิง Tuesday May 22, 2012 10:52 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--22 พ.ค.--เอ็ม พิคเจอร์ส จัดจำหน่ายโดย เอ็ม พิคเจอร์ส ชื่อภาษาไทย ประดิษฐ์รัก เปิดปุ๊ปติดปั๊ป เว็ปไซด์ตัวอย่างภาพยนตร์ http://youtu.be/g2riAct2Q5Y ภาพยนตร์แนว โรแมนติก-คอมเมดี้ จากประเทศ อังกฤษ กำหนดฉาย 7 มิถุนายน 2555 ณ โรงภาพยนตร์ โรงภาพยนตร์เครือเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ ผู้กำกับ Tanya Wexler (ทันยา เว็กซ์เลอร์) อำนวยการสร้าง Sarah Curtis (ซาราห์ เคอร์ติส) ,Judy Cairo (จูดี้ ไคโร ) และ Tracey Becker (เทรซีย์ เบ็คเกอร์) นักแสดง Hugh Dancy (ฮิวจ์ แดนซี) จากภาพยนตร์เรื่อง Our Idiot Brother, Martha Marcy May Marlene, Coach Maggie Gyllenhaal (แม็กกี้ จิลเลนฮาล) จากภาพยนตร์เรื่อง Nanny Mcphee Returns, Crazy Heart Away We Go Jonathan Pryce (โจนาธาน ไพรซ์) จากภาพยนตร์เรื่อง G.I.Joe, Echelon Conspiracy, Bedtime Stories Felicity Jones (เฟลิซิตี้ โจนส์) จากภาพยนตร์ Albatross, Chalet Girl, Like Crazy The Tempest, Soul BoyRupert Everett (รูเพิร์ต เอฟเวอร์เร็ตต์) จากภาพยนตร์เรื่อง Wild Target, St Trinian’s IIAshley Jensen (แอชลีย์ เจนเซน) จากภาพยนตร์เรื่อง Gnomeo&JulietSheridan Smith (เชอริแดน สมิธ) จากTV Series เรื่อง Chekhov Comedy Shorts, Jonathan Creek จุดเด่น Hysteria เป็นโรแมนติกคอมเมดี้เบาสมอง ให้ความรู้สึกเหมือนภาพยนตร์พีเรียดยุควิคตอเรียนแสนคลาสสิก ที่สร้างจากเรื่องจริงที่น่าประหลาดใจของการที่ดร.มอร์ติเมอร์ แกรนวิลล์ โดยถ่ายทำในลอนดอนและลักเซมเบิร์ก นำแสดงโดยนักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ด Maggie Gyllenhaal (แม็กกี้ จิลเลนฮาล)และ Hugh Dancy (ฮิวจ์ แดนซี) ซึ่งหัวใจของภาพยนตร์เรื่องนี้คือเรื่องราวที่แปลกใหม่ ขำขันและทันสมัยอย่างน่าประหลาดใจ HYSTERIA เรื่องย่อ ในยุคแห่งการประดิษฐ์ ชายผู้หนึ่งมุ่งมั่นที่จะคิดค้นหนทางรักษาสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดทรมานให้กับผู้หญิง...และบังเอิญได้พบกับวิธีที่จะปลุกไฟรักของเราให้โชติช่วงชัชวาลย์ตลอดกาล Hysteria เป็นโรแมนติกคอมเมดี้เบาสมอง ที่สร้างจากเรื่องจริงที่น่าประหลาดใจของการที่ดร.มอร์ติเมอร์ แกรนวิลล์ ได้คิดค้น ไวเบรเตอร์ไฟฟ้า/จักรกลเครื่องแรกของโลกขึ้นมาได้ แม็กกี้ จิลเลนฮาล ดาราผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด (CRAZY HEART, NANNY MCPHEE RETURNS) และฮิวจ์ แดนซี (ADAM, CONFESSIONS OF A SHOPAHOLIC) ได้นำทีมนักแสดงในเรื่องราวการค้นพบแห่งยุควิคตอเรียนนี้ ที่การค้นคว้ากุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสุขของผู้หญิงของหมอหนุ่มคนหนึ่งได้นำไปสู่ความสุขของตัวเขาเองในยุค 1880s ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของยุควิคตอเรียนที่เคร่งระเบียบแบบแผน และรุ่งอรุณแห่งยุคไฟฟ้า ในลอนดอน มอร์ติเมอร์ แกรนวิลล์ (แดนซี) หมอหนุ่มผู้ชาญฉลาดและเป็นที่ชื่นชอบ เพิ่งตกงานจากการยืนกรานที่จะเชื่อในไอเดียใหม่ที่เรียกว่า 'ทฤษฎีเชื้อโรค' และจำต้องหางานใหม่ ซึ่งเขาก็ได้ทำงานกับดร.โรเบิร์ต ดัลริมเพิล (โจนาธาน ไพรซ์) “ผู้เชี่ยวชาญการรักษาโรคสตรีระดับแนวหน้า” ของลอนดอน ดร.ดัลริมเพิล ผู้เชี่ยวชาญอาการ 'ฮิสทีเรีย' ถูกรุมล้อมไปด้วยผู้หญิงที่ทุกทรมานจากอาการทุกข์ทรมานหลากหลาย ซึ่งมีทั้ง “การร้องไห้ การมีความต้องการทางเพศสูง ไร้อารมณ์ทางเพศ เศร้าซึมและวิตกกังวล” โชคดีที่วิธีการรักษาแบบ “การนวดเฉพาะส่วน” ของดัลริมเพิลได้ผลอย่างน่าตื่นตะลึง ไม่นานนัก หมอหนุ่มรูปหล่อผู้นี้ก็มีผู้หญิงเข้าคิวรอรับบริการยาวเป็นหางว่าว และเขาก็ได้หมั้นหมายกับลูกสาวคนเล็กของเจ้านายเขา เอมิลี ดัลริมเพิล (โจนส์) สาวสวยที่เพอร์เฟ็กต์ แต่ความสำเร็จทั้งหมดนี้ก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน มอร์ติเมอร์พบว่าตัวเองต้องเจอกับอาการปวดเมื่อยมือขั้นรุนแรงและการต่อต้านอย่างรุนแรงจากลูกสาวคนโตของดัลริมเพิล ชาร์ล็อตต์ (จิลเลนฮาล) ผู้ปกป้องสิทธิของเหล่าผู้หญิงยากไร้ ผู้กล่าวหาทั้งเขาและพ่อของเธอว่าเป็น “หมอเถื่อน” มอร์ติเมอร์ ที่สูญเสียทักษะการรักษาของตัวเอง ไม่อาจสร้างความพึงพอใจให้กับคนไข้ของเขาได้อีกต่อไปแล้ว มันทำให้เขาสูญเสียทั้งงาน และคู่หมั้นของเขา เมื่อไม่มีหนทางไป เขาก็เลยกลับไปหาเพื่อนรักหัวก้าวหน้าของเขา เอ็ดมันด์ เซนต์ จอห์น-สมิธ (รูเพิร์ต เอฟเวอร์เร็ตต์) เอ็ดมันด์ ผู้หมกมุ่นกับไฟฟ้า ซึ่งเป็นศาสตร์ 'ใหม่' ได้เปิดเผยแผนการสำหรับที่ปัดฝุ่นไฟฟ้าใหม่ ซึ่งทำให้หมอหนุ่มเกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมา...และผลลัพธ์ที่ได้ก็ช่วยกระตุ้นความรู้ทางการแพทย์ของเขา เร้าใจคนไข้ของเขา และส่งผลกระทบต่อหัวใจของเขา เมื่อชาร์ล็อตต์เริ่มสอนเขาให้เข้าใจความเป็นผู้หญิง และสิ่งที่พวกเธอต้องการ มากกว่าที่เขาจะคาดคิดไว้เสียอีก ผลลัพธ์ที่ออกมาคือคอมเมดี้น่าขบขัน ที่ไม่เพียงแต่จะเผยความเป็นมาที่ทำให้ไวเบรเตอร์กลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดแรกๆ ในประวัติศาสตร์ที่ได้รับสิทธิบัตรเท่านั้น แต่มันยังทำให้เกิดประกายวูบวาบระหว่างชายหนุ่มผู้รอบคอบและหญิงสาวหัวใหม่ ที่พบรักกันด้วยความมหัศจรรย์ของการเสียดสีอีกด้วย ผู้ที่ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ยังรวมถึงแอชลีย์ เจนเซน (EXTRAS, UGLY BETTY), เชอริแดน สมิธ ผู้ได้รับรางวัลโอลิเวียร์ อวอร์ด (LEGALLY BLONDE เวอร์ชันละครเวทีลอนดอน, GAVIN & STACEY), เจ็มมา โจนส์ (HARRY POTTER & THE DEADLY HALLOWS, BRIDGET JONES’ DIARY) และแอนนา แชนเซลเลอร์ (THE DREAMERS, WHAT A GIRL WANTS) Hysteria กำกับโดยทันยา เว็กซ์เลอร์ (BALL IN THE HOUSE, FINDING NORTH) จากบทภาพยนตร์โดยทีมเขียนบทสตีเฟน ไดเออร์และโจนาห์ ลิซา ไดเออร์ สามสาวที่อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แก่ซาราห์ เคอร์ติส (HER MAJESTY MRS. BROWN, MANSFIELD PARK), จูดี้ ไคโร (CRAZY HEART) และเทรซีย์ เบ็คเกอร์ (FINDING NEVERLAND) เกี่ยวกับงานสร้างภาพยนตร์ Hysteria [ฮิ-สเตอร์-อี-เออ, -สเตียร์-] คำนาม 1.ตามประวัติศาสตร์ หมายถึงความผิดปกติที่ผู้ป่วยมีอาการตื่นเต้น หงุดหงิด ประพฤติผิดปกติและมีอารมณ์แบบสุดโต่ง เกิดขึ้นโดยมากในผู้หญิง และ 2.ความขำขันแบบฉับพลัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 ขณะที่อุปกรณ์และสิ่งประดิษฐ์แปลกใหม่กำลังหล่อหลอมโลกอย่างที่เรารู้จักในปัจจุบัน ได้ติดตามเรื่องราวการประดิษฐ์ ไวเบรเตอร์ไฟฟ้า อุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านที่ขายดีที่สุด ที่ไม่กล้าประกาศวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของมัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นมากกว่าเรื่องราวตลกน่าขบขัน HYSTERIA เป็นเรื่องราวความรักแสบซ่าส์ และการล้วงลึกเข้าไปในประวัติศาสตร์ที่ถูกซ่อนเร้น การสำรวจอารมณ์รักใคร่ของผู้หญิงและการยกย่องนักคิดหัวก้าวหน้า ที่คอยผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าในหมู่มวลมนุษยชาติมาโดยตลอด ด้วยทีมนักแสดงที่นำทีมโดยแม็กกี้ จิลเลนฮาล (CRAZY HEART) ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและพระเอกของเรื่อง ฮิวจ์ แดนซี (MY IDIOT BROTHER) ภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นท่ามกลางอดีตที่ขบขันและสดใสของยุคเคร่งศีลธรรมวิคตอเรียน หญิงสาวที่ถูกเข้าใจผิดและวิธีการรักษาที่น่าตื่นตะลึง แต่มันก็ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับทัศนคติทางเพศ เกี่ยวกับผู้ชายและผู้หญิง และวิธีการใช้ชีวิตอย่างพึงพอใจ ในแบบที่ยังคงสร้างความตกตะลึงในปัจจุบัน บทภาพยนตร์ ประกายวูบวาบของ HYSTERIA เริ่มต้นขึ้นด้วยเกร็ดประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นที่รู้จักนัก ความจริงที่ว่าไวเบรเตอร์ที่ใช้แบตเตอรี่ถูกจดสิทธิบัตรในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยโจเซฟ มอร์ติเมอร์ แกรนวิลล์ แพทย์ชาวอังกฤษ ผู้ได้รับการยกย่องอย่างสูง เขาเป็นผู้ออกแบบอุปกรณ์ชนิดนี้ขึ้นอย่างจริงจังเพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ แกรนวิลล์ได้โฆษณาเครื่องมือของเขา ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อของ “ค้อนของแกรนวิลล์” ว่าใช้บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แต่ไม่นานมันก็ถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่ในขณะนั้น แพทย์หลายคนมองว่าเป็นวิธีการรักษาที่เชื่อถือได้เพียงหนึ่งเดียวสำหรับอาการผิดปกติที่ลึกลับและระบาดไปทั่วในหมู่ผู้หญิง ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อของ 'ฮิสทีเรีย' วิธีการรักษานี้คือ “การนวดทางการแพทย์” อวัยวะผู้หญิง “จนถึงขั้นสุดยอด” ซึ่งตามมุมมองในยุควิคตอเรียน มันเป็นการปลดปล่อยของระบบประสาททางการแพทย์ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการถึงจุดสุดยอดทางเพศและไม่ถูกมองว่าเป็นเรื่องทางเพศเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่ 'ฮิสทีเรีย' จะถูกตีแผ่ (ในหนึ่งร้อยปีให้หลัง) ว่าเป็นตำนานเก่าแก่ 4,000 ปี และเป็นผลการวินิจฉัยสำหรับอาการผิดปกติทุกรูปแบบ ไวเบรเตอร์ก็ได้ช่วยผลักดันให้เกิดโลกใหม่ ที่ซึ่งผู้หญิงมีอิสระที่จะสำรวจพลังทางเพศของตัวเองเสียทีเมื่อผู้อำนวยการสร้างเทรซีย์ เบ็คเกอร์ เจ้าของผลงานภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดโดยมาร์ค ฟอร์สเตอร์เรื่อง Finding Neverland (ที่เล่าเรื่องต้นกำเนิดวรณกรรมเรื่อง Peter Pan ของเจ.เอ็ม. แบร์รีย์) ได้ยินเรื่องของแกรนวิลล์จากนักเขียนโฮเวิร์ด เกนส์เลอร์เป็นครั้งแรก ตอนแรกเธอก็นึกขำ แต่แล้วเธอก็เกิดแรงบันดาลใจขึ้นมา ไอเดียของการที่แพทย์ผู้ตึงเครียดและรักธรรมเนียมในยุควิคอตอเรียน ได้ประดิษฐ์สิ่งที่กลายเป็นเซ็กส์ทอยที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ฟังดูเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมสำหรับภาพยนตร์สมัยใหม่ “แต่มันจะไม่เป็นหนังชีวประวัติน่าเบื่ออีกเรื่องหนึ่งหรอกค่ะ” เบ็คเกอร์กล่าวกลั้วหัวเราะ “แต่มันจะเป็นโรแมนติกคอมเมดี้ที่สว่างไสว และเรื่องราวที่เกี่ยวกับการประดิษฐ์ไวเบรเตอร์ และจิตวิญญาณของความเปลี่ยนแปลงค่ะ” เบ็คเกอร์ได้เสนอไอเดียนี้ให้กับผู้กำกับทันยา เว็กซ์เลอร์ และทั้งคู่ก็ได้นำไอเดียนี้ไปคุยกับทีมเขียนบท สตีเฟน ไดเออร์และโจนาห์ ลิซา ไดเออร์ ผู้ไม่อาจอดใจไม่ให้ชื่นชอบความเรียบง่ายที่น่าตื่นตะลึงของไอเดียนี้ได้ แม้ว่ามันจะกลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากขึ้นก็ตาม “เทรซีย์และทันยาได้นำคอนเซ็ปต์ตลกที่ยอดเยี่ยม ซึ่งคุณสามารถพูดถึงได้ด้วยประโยคเดียวว่า 'แพทย์ยุควิคตอเรียนได้ประดิษฐ์ไวเบรเตอร์ขึ้นมา' และเราก็ได้แต่ตอบว่า 'ได้เลย เราจะทำ' ทันที และตอนนั้นเองที่เราเริ่มสงสัยว่า นี่เราไปพัวพันกับเรื่องอะไรล่ะเนี่ย น่ะครับ” สตีเฟนกล่าวพลางหัวเราะ “มันเป็นไอเดียที่ยอดเยี่ยม แต่มันก็ต้องมีการสร้างตัวละคร สถานการณ์ โลกทั้งใบและโครงสร้างเรื่องราวขึ้นมาอีกน่ะครับ” เบ็คเกอร์กล่าวว่า “เรารู้ว่าเราจะต้องหาโทนที่เป็นเอกลักษณ์ เพราะแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องราวในศตวรรษที่ 19 แต่เนื้อหานี้ก็ยังคงทำให้พวกเราเขินอายได้ในปี 2011 ฉันคิดว่าคู่ไดเออร์ได้ขับเน้นความตลกในการสร้างเรื่องราวความจริงแบบเมอร์แชนท์ ไอวอรีขึ้นมาเป็นผิวหน้า และมีคอมเมดี้สุดฮาอยู่ด้านล่าง แทนที่จะใช้มุขแบบทุบหัวเข้าบ้าน พวกเขากลับทำให้อารมณ์ขันเกิดขึ้นจากเหตุการณ์พิลึกพิลั่นที่เกิดขึ้น ห้อมล้อมตัวละครที่มีเสน่ห์และเข้าถึงได้เหล่านี้น่ะค่ะ” ไดเออร์ทั้งสองได้ลงมือค้นคว้าข้อมูล และได้ค้นพบช่วงเวลาที่อยู่ระหว่างขนบธรรมเนียมดั้งเดิมและความตื่นตะลึงของสิ่งใหม่ๆ ยุคสมัยที่แพทย์จะเริ่มถอยห่างจากความเชื่อในการใช้สารระเหยและปลิงไปสู่ความเข้าใจในทฤษฎีเชื้อโรคและจิตวิทยา ในตอนที่โลกที่เคยสว่างไสวด้วยแรงเทียนและแก๊สเปลี่ยนไปเป็นโลกที่น่าตื่นตาตื่นใจด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้า ยุคสมัยที่ผู้หญิงคนกล้าเริ่มต่อสู้เพื่อสิทธิที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง ท่ามกลางเรื่องราวเหล่านี้ พวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับช่วงเวลาที่แปลกประหลาดในแวดวงการแพทย์ศตวรรษที่ 19 เมื่อเกือบหนึ่งส่วนสี่ของประชากรหญิงในลอนดอนถูกวินิจฉัยว่ามีอาการของ 'ฮิสทีเรีย' นี่เป็นคำที่ถูกใช้กับความผิดปกติที่หลากหลายของผู้หญิง ซึ่งรวมถึงปริศนาลึกลับที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงเช่นความไร้สุข ความกระสับกระส่าย ความไม่เชื่อฟัง การประพฤติตัวไม่เหมาะสม การให้ความสนใจเรื่องเพศน้อยหรือมากเกินไป หรือแม้กระทั่งความปรารถนาที่จะได้รับสิทธิในการโหวต (แม้ว่าในที่สุดคำวินิจฉัยนี้จะตกไปในยุค 50s กระทั่งทุกวันนี้ เรายังพูดอยู่เลยว่า “อย่าเป็นฮิสทีเรียสิ!” เพื่อเตือนสติผู้หญิงที่กำลังคลั่ง) นับตั้งแต่ยุคแพทย์กรีกโบราณ อาการฮิสทีเรียอย่างใดอย่างหนึ่งมีประวัติที่ยาวนานและแปลกประหลาดในการถูกรักษาด้วย “การนวดเชิงกราน,” “การควบคุมแบบดิจิตอล” หรือการบำบัดที่สร้างสรรค์อย่างการขี่ม้าหรือการอาบน้ำอวัยวะส่วนล่าง แต่เมื่อแพทย์ยุควิคตอเรียนเชื่อว่าพวกเขากำลังรับมือกับความบ้าคลั่งของผู้หญิงที่เป็นโรคระบาด วิธีการรักษาก็แพร่ไปทั่วอังกฤษอย่างที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน มันก่อให้เกิดหลักการที่ว่า การรักษาเช่นนั้นไม่มีความอีโรติคเลย ในทางตรงกันข้าม มันเป็นวิธีการบำบัดทางประสาทแต่เพียงอย่างเดียว ปฏิกิริยาทางกายภาพที่เกิดขึ้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นระหว่างสามีและภรรยาเท่านั้น แต่มันเป็นการปลดปล่อยทางการแพทย์ ที่ทำให้ความตึงเครียดและสารพิษเหือดแห้งไปจากระบบประสาทต่างหาก ยิ่งไดเออร์อ่านเรื่องเกี่ยวกับฮิสทีเรียและการรักษาอาการนี้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งทึ่งกับมันมากเท่านั้น “พอเราเริ่มเจาะลึกลงไปในประวัติศาสร์ เราก็ได้รู้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นพันๆ ปีแล้ว ที่ผู้หญิงจะต้องเข้ารับการรักษาด้วยการขี่ม้าหรือการบำบัดทางน้ำ แต่ต้องหลีกเลี่ยงกับข้อเสนอแนะที่ว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศ” โจนาห์ ลิซาบอก “มันเป็นความเชื่อจนกระทั่งเร็วๆ นี้ ว่าผู้หญิงไม่อาจมีความสุขสมได้หากปราศจากการสอดใส่ของผู้ชาย ดังนั้น แพทย์ผู้ชายก็เลยสามารถแบ่งแยกวิธีการรักษาพวกนี้จากเรื่องทางเพศได้ แต่ผู้หญิงสมัยนี้รู้แล้วว่ามันเป็นยังไงน่ะค่ะ!” จริงๆ แล้ว การค้นหาวิธีการใหม่ๆ ในการปลุกเร้าผู้หญิงนำไปสู่ต้นแบบแรกๆ ของไวเบรเตอร์ และเมื่อมอร์ติเมอร์ แกรนวิลล์ได้ประดิษฐ์ “ค้อน” ของเขา เขาก็รู้ดีว่ามันอาจจะถูกใช้บำบัดผู้หญิงที่มีอาการ 'ฮิสทีเรีย' มันกลายเป็นฐานสำหรับคอมเมดี้ในเรื่องเมื่อคู่ไดเออร์เริ่มลงมือเขียน แม้ว่าพวกเขาจะได้สืบค้นประวัติที่ค่อนข้างเคร่งเครียดของแกรนวิลล์ตัวจริง แต่พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะแต่งเรื่องสมมติในชีวิตและความสัมพันธ์ของเขา ซึ่งรวมถึงอาการพังผืดกดทับเส้นประสาทที่มือ ซึ่งนำโชคร้ายมาให้เขา สัมพันธ์รักระหว่างเขากับลูกสาวสองคนของเจ้านายเขา และที่สำคัญที่สุด ความขัดแย้งภายในจิตใจของเขาเอง ว่าจะพอใจกับความสำเร็จแบบดั้งเดิมหรือว่าจะกล้าที่จะทำตามความเชื่อมั่น...และหัวใจของตัวเอง “การเดินทางของมอร์ติเมอร์จริงๆ แล้วเป็นเรื่องของผู้ชายที่เชื่อในวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ผู้ต้องการจะเปลี่ยนแปลงวงการแพทย์ แต่ก็ต้องสูญเสียทั้งหมดเมื่อเขาเริ่มรักษาอาการฮิสทีเรียของผู้หญิงครับ” สตีเฟนอธิบาย “เขาทำมันพังจนกระทั่งเขาได้พบกับชาร์ล็อตต์ ดัลริมเพิล หญิงสาวน่าทึ่ง ที่รับบทโดยแม็กกี้ จิลเลนฮาล และเธอก็บีบให้เขาเผชิญหน้ากับสิ่งที่เขาสามารถรับได้และรับไม่ได้กับการกระทำของตัวเอง” โจนาห์ ลิซากล่าวต่ออีกว่า “เราชื่นชอบไอเดียที่ว่ามอร์ติเมอร์เป็นคนหนุ่มผู้มีวิสัยทัศน์ก้าวหน้าเกินกว่ายุคสมัยของเขาและรู้สึกเหมือนว่าถูกสังคมดึงรั้งเอาไว้ นี่เป็นยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความก้าวหน้าและสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ มีคนมากมายที่ผลักดันขอบเขตและความเสี่ยงของการทำเช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ สำหรับเรา” สำหรับมอร์ติเมอร์ ความเสี่ยงและผลตอบแทนในการท้าทายขนบของยุควิคตอเรียนเห็นได้จากการตัดสินใจเลือกระหว่างพี่น้องดัลริมเพิลสองคน ผู้ซึ่งมุมมองเกี่ยวกับชีวิตหญิงสาวชาววิคตอเรียนของพวกเธอได้เนรมิตชีวิตและความมีชีวิตชีวาให้กับเรื่องราว “เอมิลีเป็นหญิงสาววิคตอเรียนในอุดมคติ เธอทั้งเชื่อฟัง เรียบร้อยและประพฤติตัวอย่างดี” สตีเฟนตั้งข้อสังเกต “ในทางกลับกัน ชาร์ล็อตต์เป็นคนที่ต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีอย่างเด็ดเดี่ยวและเธอก็ใช้เงินของพ่อเธอเพื่อยกระดับชีวิตของผู้หญิงให้พ้นจากความยากจน มันเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากสำหรับมอร์ติเมอร์ครับ” ไม่นานนัก ชาร์ล็อตต์ก็กลายเป็นหนามทิ่มแทงมอร์ติเมอร์ ด้วยผลลัพธ์ที่เย้ายวนใจ “ฉันชื่นชอบการสร้างตัวละครตัวนี้ค่ะ เพราะเธอเป็นตัวละครสมัยใหม่มากๆ” โจนาห์ ลิซากล่าว “เธอเชื่อในสิ่งเหล่านี้จริงๆ และเธอก็ทำให้มอร์ติเมอร์หวั่นไหวและทำให้เขาคิดขึ้นได้ว่าเขาก็เคยมีความเชื่อเหมือนกัน เธอทำให้เขาเกิดความรู้สึกผูกพันและการปะทะคารมระหว่างพวกเขาก็ยิ่งพัดไฟรักของพวกเขาให้ลุกโชนขึ้น มันเป็นความสัมพันธ์ที่น่าขบขันและเหนื่อยเอาการ แต่มันก็เป็นเรื่องรักจริงๆ ด้วยเพราะท้ายที่สุดแล้ว มอร์ติเมอร์ก็พบว่าเขาเต็มใจที่จะสละชีวิตที่สมบูรณ์แบบและปลอดภัยของเขาเพื่อชาร์ล็อตต์น่ะค่ะ” เมื่อเรื่องราวดำเนินไป คอมเมดี้และเรื่องรักก็เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ดังนั้น คู่สามีภรรยาไดเออร์ก็ได้ให้ความสำคัญกับความสมจริงเป็นอันดับแรก “ทันยา, เทรซีย์, โจนาห์ ลิซาและผมมักจินตนาการถึงหนังที่จะดูเหมือน HOWARD'S END ในเรื่องความใส่ใจรายละเอียด แต่ก็มีโทนเหมือนกับFOUR WEDDINGS AND A FUNERAL มากกว่าน่ะครับ” สตีเฟนอธิบาย “และนั่นก็คือสิ่งที่ทันยาได้สร้างขึ้นมาจริงๆ” ทีมงานสร้าง เป็นเรื่องเหมาะสมอย่างยิ่งที่ HYSTERIA จะถูกเนรมิตชีวิตขึ้นมาได้โดยทีมงานหญิง และผู้อำนวยการสร้างเทรซีย์ เบ็คเกอร์และผู้กำกับทันยา เว็กซ์เลอร์ ก็ได้ร่วมงานกับทีมงานหญิงที่ประสบความสำเร็จอีกสองคนคือผู้อำนวยการสร้างชาวอังกฤษ ซาราห์ เคอร์ติสและผู้อำนวยการสร้างชาวอเมริกัน จูดี้ ไคโร ผู้นำความชำนาญและความรักในแบบของตัวเองมาใส่ในโปรเจ็กต์นี้ เว็กซ์เลอร์เคยกำกับภาพยนตร์ขนาดสั้นชื่อดังมาหลายเรื่องระหว่างที่ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียและเธอก็เปิดตัวด้วยภาพยนตร์อินดีทุนต่ำสองเรื่อง (FINDING NORTH, BALL IN THE HOUSE) ก่อนจะพักงานถ่ายทำมาสร้างครอบครัว ในความจริงแล้ว เว็กซ์เลอร์ได้พบกับเทรซีย์ เบ็คเกอร์ในตอนที่เธอได้ไปเยี่ยมชมร้านขายของเล่นในเวสต์ วิลเลจ ที่เบ็คเกอร์บริหารงานกับสามีของเธอ “มันเป็นการพบกันที่ไม่ธรรมดามากๆ ค่ะ” เบ็คเกอร์เล่า “เราเริ่มคุยกันโดยที่เราไม่รู้เลยว่าเราเป็นคนทำหนังทั้งคู่ แต่เรามารู้เรื่องนี้เอาทีหลังน่ะค่ะ” แต่เมื่อทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนกัน เบ็คเกอร์ก็เริ่มมองเห็นว่าเว็กซ์เลอร์เป็นตัวเลือกที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับ HYSTERIA เบ็คเกอร์กล่าวต่อว่า “ฉันเห็นทันยาว่าเป็นพลังธรรมชาติค่ะ เธอฉลาดมาก แต่ก็เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และสัญชาตญาณที่เฉียบคมด้วย ตอนที่ฉันได้ดูหนังเรื่องแรกๆ ของเธอ ฉันก็ตระหนักว่าไม่เพียงแต่เธอจะเป็นคนที่จริงใจเท่านั้น แต่เธอยังเป็นนักเล่าเรื่องตามธรรมชาติด้วยค่ะ” ทันทีที่เบ็คเกอร์ได้เสนอแนะไอเดียสำหรับภาพยนตร์เกี่ยวกับการประดิษฐ์ไวเบรเตอร์ เว็กซ์เลอร์ก็ตอบรับมันทันที “พอเธอได้ยินไอเดียนี้ แววตาเธอก็ทอแสงระยิบระยับเหมือนดอกไม้ไฟเลยค่ะ” เบ็คเกอร์เล่า “เธอเริ่มค้นคว้าข้อมูลต่างๆ มากจนเธอสามารถเขียนหนังสือเกี่ยวกับหลักความเชื่อทางเพศยุควิคตอเรียนของตัวเองได้เลยล่ะค่ะ” เว็กซ์เลอร์เองตื่นเต้นเกี่ยวกับ HYSTERIA มากๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเธอมองเห็นว่ามันเป็นลูกผสมระหว่างแนวภาพยนตร์สองแนวที่เธอโปรดปราน “ฉันเป็นแฟนของหนังดราม่าคอสตูมอังกฤษ แต่ฉันก็ชอบคอมเมดี้สมัยใหม่ที่ซับซ้อนด้วยค่ะ” เธออธิบาย “ดังนั้น ตอนแรกที่ฉันได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันก็คิดว่า ฉันจะต้องสร้างหนังเรื่องนี้ให้ได้ มันคงตลกน่าดูถ้าจะสร้างความแตกต่างระหว่างโลกยุควิคตอเรียนที่เต็มไปด้วยชนชั้นสูงและขนบธรรมเนียม และการรักษาผู้หญิงด้วยวิธีที่ปลุกเร้าอารมณ์ทางเพศมากๆ แต่พวกเขากลับยืนกรานว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องทางเพศเลยแม้แต่น้อยน่ะค่ะ” เธอได้พัฒนาวิสัยทัศน์ของตัวเธอเองที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่เธอจะแนะนำเบ็คเกอร์ให้รู้จักกับสตีเฟนและโจนาห์ ลิซา ไดเออร์ ผู้ที่เธอเคยร่วมงานด้วยมาก่อนในผลงานเรื่องอื่นๆ “ฉันรู้ว่าหนังเรื่องนี้จะต้องต่อยอดจากขนบของหนังคลาสสิกในอดีต แล้วเติมสีสันแปลกใหม่เข้าไป เราต้องการความเฉียบคมแบบโรแมนติกคอมเมดี้ยุค 30s และ 40s ที่นำแสดงโดยแคทเธอรีน เฮพเบิร์นและแครี แกรนท์ ที่มีการปะทะคารมไปมาและการสร้างปฏิกิริยาเคมีทางเพศขึ้นมา..เราต้องการแบบดีไซน์สวยๆ ของดราม่าคอสตูมที่สง่างามสไตล์เมอร์แชนท์-ไอวอรี และจังหวะของคอมเมดี้สมัยใหม่ค่ะ” เธออธิบาย “สำหรับฉัน แก่นของเรื่องราวนี้คือหมอหนุ่มหัวก้าวหน้า ผู้ซึ่งชีวิตพลิกผันด้วยผู้หญิงที่กระตุ้นและท้าทายเขาในทุกย่างก้าวค่ะ” เว็กซ์เลอร์รู้สึกเสมอว่า ชาร์ล็อตต์ ดัลริมเพิลเป็นหัวใจด้านอารมณ์ของเรื่อง “เธอเป็นตัวละครที่รอบรู้และมีชีวิตชีวาอย่างมากค่ะ” เธอบอก “เธอมีแง่มุมที่น่าขบขัน แต่ฉันก็ชอบที่เธอได้รับแรงบันดาลใจจากนักเคลื่อนไหวผู้หญิงจริงๆ ในศตวรรษที่ 20 นักผจญภัยและผู้ปลุกระดมให้คนไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งคนกล้าผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี ผู้ที่ทำตามความเชื่อของตัวเอง ซึ่งบางครั้งก็สั่นคลอนชีวิตส่วนตัวของพวกเธอเองด้วยค่ะ” อย่างไรก็ดี ชีวิตสังคมที่แทบไม่มีอยู่ของชาร์ล็อตต์ก็กลับพลิกตารปัตรเมื่อเธอได้พบกับมอร์ติเมอร์ “พวกเขามีความไม่ลงรอยกันตามแบบโรแมนติกคอมเมดี้ที่คลาสสิกค่ะ” เว็กซ์เลอร์ตั้งข้อสังเกต “มอร์ติเมอร์ตอบรับระเบียบแบบแผน ซึ่งก็ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขา ในขณะที่ชาร์ล็อตต์ให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นๆ มากกว่าความรัก แต่เมื่อทั้งคู่ได้พบกัน แผนการทุกอย่างของพวกเขาก็พังทลายลง” เมื่อเว็กซ์เลอร์, เบ็คเกอร์และคู่สามีภรรยาไดเออร์ได้บทภาพยนตร์ฉบับสมบูรณ์แล้ว พวกเขาก็มีโอกาสได้ส่งมันไปให้กับหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์อินดี้ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของอังกฤษ ซึ่งมีผลงานทั้ง MRS. BROWN, MANSFIELD PARK และ THE GOVERNESS เธอก็คือซาราห์ เคอร์ติส “ฉันทึ่งมากที่นักเขียนบทได้ถ่ายทอดลักษณะเฉพาะของอังกฤษออกมาได้ดีเหลือเกิน” เคอร์ติสบอก “บอกตามตรงนะคะ ฉันค่อนข้างหวั่นใจกับมันเพราะพวกเขาไม่น่าจะทำได้ แต่ฉันก็พบว่าพวกเขาถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างถูกต้องอย่างเหลือเชื่อ เนื้อหานี้ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างชาญฉลาดและราบรื่น และมันก็มีธีมที่น่าสนใจมากมาย มันอาจจะเป็นเรื่องราวมุขเดียวก็ได้ แต่นี่เป็นตรงข้ามกันเลย” เว็กซ์เลอร์เล่าว่า “เทรซีย์กับฉันตื่นเต้นมากที่ได้ผู้อำนวยการสร้างที่มีประสบการณ์อย่างซาราห์มาร่วมทีมด้วย ฉันเป็นแฟนหนังของเธอค่ะ ฉันดูหนังของเธอหลายเรื่องเพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับ HYSTERIA ก่อนที่ฉันจะได้พบกับเธอเสียอีกค่ะ” ไม่นานหลังจากที่เคอร์ติสตกหลุมรักบทภาพยนตร์เรื่องนี้ เบ็คเกอร์, เว็กซ์เลอร์และเคอร์ติสก็เริ่มต้นหาเงินทุนในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ และสองสิ่งที่พวกเขาขาดอยู่ในขณะนี้คือนักแสดงและเงินทุน “สิ่งแรกที่เราต้องการคือทีมนักแสดงมากความสามารถ ผู้มีสัญชาตญาณการแสดงตลกเป็นเลิศค่ะ” ผู้อำนวยการสร้างเคอร์ติสบอก ทีมงานได้ร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับผู้กำกับฝ่ายคัดเลือกนักแสดง เกบี้ เคสเตอร์ (FLASHBACKS OF A FOOL, CHEERFUL WEATHER FOR THE WEDDING) ในการดึงตัวโจนาธาน ไพรซ์และรูเพิร์ต เอฟเวอร์เร็ตต์มาร่วมงานด้วย “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยตอนที่ซาราห์และเทรซีย์บอกฉันว่าพวกเขาเอาด้วย มันเป็นความฝันที่เป็นจริงเลยค่ะ” เว็กซ์เลอร์กล่าว เอฟเวอร์เร็ตต์และไพรซ์มาร่วมงานในโปรเจ็กต์นี้ตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกและพวกเขาก็อยู่กับภาพยนตร์เรื่องนี้ตลอดช่วงเวลาขาขึ้นและขาลงในการระดมเงินทุน เคอร์ติสอธิบายว่า “ด้วยสภาพเศรษฐกิจและสภาวะการให้เงินทุนภาพยนตร์ เรารู้ว่าเราต้องการหุ้นส่วนที่จะเชื่อในโปรเจ็กต์นี้มากพอๆ กับเรา เราโชคดีมากๆ ที่ได้รับการสนับสนุนและเสียงตอบรับจากผู้ร่วมอำนวยการสร้างชาวฝรั่งเศสของเรา อนูค โนรา (บาย อัลเทอร์เนทีฟ พิคเจอร์ส) อนูคได้แนะนำโปรเจ็กต์นี้ให้กับมิเชล ริลแล็ค หัวหน้าอาร์เต ฟรองซ์ ซีเนมา ผู้กลายเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญของเรื่องตั้งแต่ช่วงเริ่มแรก เมื่อได้การสนับสนุนจากมิเชลและอนูคแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้รับ 'แกรนด์ แอคคอร์ด' (จากบรรดา 1,500 เรื่อง) ในแต่ละปี มีภาพยนตร์เพียง 6 เรื่องเท่านั้นที่ได้รับเครื่องหมายอันทรงเกียตินี้จาก อาร์เต ฟรองซ์และอาร์เต เยอรมนี/ดับบลิวดีอาร์ โลรองต์ ฮัสซิดจากคานัล พลัส ฟรานซ์ยังกลายเป็นผู้สนับสนุนของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย และการสนับสนุนของคานัล พลัสที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำให้ทีมผู้อำนวยการสร้างสร้างฐานสนับสนุนสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมาได้ ในฝรั่งเศส อนูคได้เรียกใช้งานโอต์ เอ กูท์ บริษัทจัดจำหน่ายฝรั่งเศสด้วย ซึ่งอนูคก็อธิบายว่า “หนังเรื่องนี้เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับทันยา เธอฉลาด มีไหวพริบและอ่อนไหว ฉันเชื่อเสมอว่าเธอจะต้องสร้างหนังดีๆ ขึ้นมาได้ ฉันก็เลยกระตือรือร้นแบบ 100% เต็ม และความรู้สึกนี้ก็แบ่งปันได้อย่างง่ายดายด้วยค่ะ” นอกจากนี้ เธอยังได้นำแอล ไดรเวอร์ บริษัทจัดจำหน่ายในต่างประเทศสัญชาติฝรั่งเศสเข้ามาร่วมงานด้วย แอล ไดรเวอร์ บริหารงานโดยแอดเดอลีนและอีวา ผู้ที่ก็ตกหลุมรักบทภาพยนตร์เรื่องนี้และแสดงออกถึงพลังงานและความกระตือรือร้นแบบเดียวกันตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งก็ทำให้พวกเธอเหมาะกับโปรเจ็กต์นี้อย่างดี หุ้นส่วนชาวลักเซมเบิร์ก จิมมี เดอ บราแบนท์และบ็อบ เบลเลียนจากดีลักซ์ โปรดักชันส์ ได้อ่านโปรเจ็กต์นี้และพวกเขาก็ได้เสนอไอเดียที่จะให้ถ่ายทำในสตูดิโอที่ลักเซมเบิร์ก ผู้อำนวยการสร้างเคอร์ติสอธิบายว่า “โปรเจ็กต์นี้เหมาะกับดีลักซ์ โปรดักชั่นส์อย่างมาก เรารู้ว่าส่วนใหญ่ของเรื่องจะต้องถ่ายทำในสตูดิโอและลักเซมเบิร์กก็มีสตูดิโอชั้นเยี่ยมและทีมงานเก่งๆ ในทุกแผนก ดีลักซ์ โปรดักชั่นส์ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยระดมทุนสำหรับหนังเรื่องนี้ค่ะ” เมื่อได้แอล ไดรเวอร์ บริษัทจัดจำหน่ายสัญชาติฝรั่งเศส ที่บริหารงานโดยอีวา ดีเดอริกซ์และแอดเดอลิน ฟอนแทน เทซเซาร์ เข้ามา ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เริ่มได้รับความสนใจจากผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ในประเทศอื่นๆ แม้กระทั่งในภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองของปีที่ผ่านมา และในขั้นตอนที่สำคัญในกระบวนการนี้เอง จูดี้ ไคโร ที่เพิ่งเสร็จจากการอำนวยการสร้าง CRAZY HEART ที่ได้รับรางวัลออสการ์ ก็ตกหลุมรักบทภาพยนตร์เรื่องนี้และเข้าร่วมทีมนี้ “ฉันได้รับบทหนังประมาณ 100 เรื่องต่อสัปดาห์ และหนังเรื่องนี้ก็ถูกส่งตรงเข้าแฟ้มสแปมของฉัน แต่พอฉันเห็นมัน อะไรบางอย่างก็ทำให้ฉันอยากจะเปิดอีเมล์นี้ ตั้งแต่หน้าแรกฉันก็รู้ทันทีเลยว่าฉันจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับหนังเรื่องนี้ให้ได้” ไคโรบอก “มันเป็นเรื่องราวยอดเยี่ยมที่ทำให้คุณหัวเราะตั้งแต่หน้าแรก และทำให้คุณยังหัวเราะอยู่ในอีก 100 หน้าถัดไป แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้คุณประทับใจ ทำให้คุณปลื้มไปกับความรักและเผยสิ่งต่างๆ ให้คุณได้รู้ ฉันรู้สึกว่ามันน่าจะโดนใจผู้ชมร่วมสมัยได้จริงๆ น่ะค่ะ” เธอกล่าวต่ออีกว่า “มีบทพูดบรรทัดหนึ่งที่ทำให้ฉันประทับใจเป็นพิเศษ ตอนที่ชาร์ล็อตต์พูดถึงงานของเธอเกี่ยวกับผู้หญิงด้อยโอกาสว่า 'ฉันได้จากพวกเธอมากกว่าที่ฉันให้ออกไปอีก' ไวเบรเตอร์อาจจะเป็นหมัดเด็ดของหนังเรื่องนี้ก็จริง แต่สำหรับฉัน มันเป็นธีมของเรื่องค่ะ นี่เป็นเรื่องราวที่ทำให้คุณหัวเราะคิกคักแต่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับแง่มุมตลกของความปรารถนามากกว่า และมันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับความปรารถนาในตัวเราทุกคนที่จะใช้ชีวิตอย่างเป็นประโยชน์น่ะค่ะ” ไคโรหวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้ผู้ชมหัวเราะและพูดคุยกัน อาจจะในเรื่องที่พวกเขาไม่ค่อยได้พูดถึงกัน “มันยังคงเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงมีเซ็กส์อย่างเปิดเผยน่ะค่ะ” เธอตั้งข้อสังเกต “หวังว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นข้อยกเว้นนะคะ” ไคโรและทีมอินฟอร์แมนท์ มีเดียของเธอได้พบว่า พวกเธอสามารถดึงดูดแรงสนับสนุนสำคัญที่จะมาเติมเต็มเงินทุนในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว “บทหนังคุณภาพสูงแบบนี้หาได้ยากค่ะและคนก็จะตกหลุมรักมัน” เธอสรุป “มันดึงดูดทีมงานและนักแสดงที่ทุ่มเทให้กับงานอย่างเหลือเชื่อค่ะ” โลกแห่งประกายไฟฟ้า: งานสร้าง เมื่อได้นักแสดงมาแล้ว ทีมผู้สร้างก็เริ่มหันหน้าเข้าสู่ความท้าทายในการสร้างโลกที่เฉพาะเจาะจงและไม่เคยปรากฏมาก่อนของ HYSTERIA มุมซ่อนเร้นของลอนดอนยุควิคตอเรียน ที่ซึ่งแพทย์ได้นวดส่วนลับให้กับคนไข้หญิงของพวกเขาตั้งแต่เริ่มต้น ทันยา เว็กซ์เลอร์รู้ว่าเธอต้องการจะถ่ายทอดแง่มุมทั้งสองด้านของชีวิตยุควิคตอเรียน แง่มุมของขนบธรรมเนียมประเพณีที่เหมาะสม ตามที่มันมีชื่อเสียง รวมถึงกลิ่นไอของความเปลี่ยนแปลงที่แผ่ซ่านอยู่ในอากาศ เพราะนี่เป็นยุคสมัยที่สิ่งประดิษฐ์และความคิดที่ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องเหนือจินตนาการกำลังเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมดั้งเดิมต่างๆ ด้วยความรวดเร็วจนน่าตื่นตะลึง นอกเหนือจากไวเบรเตอร์แล้ว สิ่งประดิษฐ์ในยุคนั้นยังรวมถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบอย่างเครื่องจักรเย็บผ้าที่บ้าน โถส้วมชักโครกสาธารณะ การพาสเจอร์ไรซ์อาหาร รถไฟใต้ดิน เครื่องพิมพ์ดีด โทรศัพท์ เครื่องเล่น วิคตอเรียน(Victorians) vs โมเดิร์น(Moderns) : ทีมนักแสดงและตัวละคร ทีมผู้สร้างตื่นเต้นกับทีมนักแสดงที่พวกเขารวบรวมมาได้ “ในช่วงเริ่มแรก เราเขียนลิสต์รายชื่อที่พวกเราต้องการ และกลายเป็นว่าพวกเขาทุกคนก็ได้มาอยู่ในหนังเรื่องนี้” ทันยา เว็กซ์เลอร์บอก “ส่วนใหญ่แล้ว มันเป็นเพราะวิธีการบอกเล่าเรื่องราวในบท ในตอนที่คนได้ยิน คอนเซ็ปต์ของ HYSTERIA เป็นครั้งแรก พวกเขาก็คาดหวังว่ามันจะเป็นคอมเมดี้สุดฮา แต่สิ่งที่พวกเขาเจอกลับเป็นหนังตลก ที่สะเทือนอารมณ์ และมีความอบอุ่นหัวใจจริงๆ มันทำให้นักแสดงแปลกใจและพอใจ และฉันคิดว่า มันเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกถูกดึงดูดเข้าหาโปรเจ็กต์นี้ด้วยค่ะ” มันเป็นความจริงสำหรับทีมงานทุกคน ขณะที่ทีมนักแสดงได้สวมบทตัวละครที่เป็นคนยุควิคตอเรียนตามแบบฉบับ ที่เคร่งขนบธรรมเนียม หรือตัวละครดุเดือด หัวก้าวหน้า ที่ค้านกับยุคสมัย ซึ่งนักแสดงเหล่านี้ได้แก่ Hugh Dancy (ฮิวจ์ แดนซี) รับบท Mortimer Granville (มอร์ติเมอร์ แกรนวิลล์) สำหรับบทมอร์ติเมอร์ แกรนวิลล์ ทีมผู้สร้าง HYSTERIA ได้ค้นหาพระเอกที่เป็นอังกฤษแท้ๆ คนที่สามารถรับบทแพทย์มาดเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้วแห่งศตวรรษที่ 19 ผู้ที่ชีวิตที่เป็นแบบแผนของเขาค่อยๆ พังทลายด้วยหญิงสาวคนงาม ผู้เยาะเย้ยงาน “นวด” คนไข้หญิงชั้นสูงของเขา นอกจากนี้ พวกเขายังต้องการนักแสดงผู้วางตัวเงียบขรึมแม้กระทั่งระหว่างการประดิษฐ์ไวเบรเตอร์ขึ้นมาได้ พวกเขาพบคุณสมบัตินั้นในตัวของนักแสดงดาวรุ่งชาวอังกฤษ ฮิวจ์ แดนซี แดนซีเป็นที่รู้จักของผู้ชมทั่วโลกจากบทบาทการแสดงมากมาย ซึ่งรวมถึงบทดาร์ตาญังใน YOUNG BLADES, บทหมอเคิร์ท ชมิดท์ใน BLACK HAWK DOWN, บทบัดดี้ใน EVENNING (ที่เขาได้พบกับภรรยาของเขา แคลร์ เดนส์), กาลาฮัดใน KING ARTHUR และบทอดัม ผู้ใจบุญใน ADAM ซึ่งก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันโดดเด่นในการสับเปลี่ยนระหว่างการแสดงดราม่า คอมเมดี้ แอ็กชั่นและพีเรียดได้ ทันยา เว็กซ์เลอร์ค้นหามอร์ติเมอร์ของเธอมานานในตอนที่เธอเห็นแดนซีแสดงละครบรอดเวย์เรื่อง Journey’s End ซึ่งเป็นละครอังกฤษคลาสสิกโดยอาร์.ซี. เชอร์ริฟ “เขาแสดงบทบาทที่จริงจังมากๆ ไม่เหมือนกับบทมอร์ติเมอร์ แกรนวิลล์เลย แต่พอฉันได้เห็นเขา ฉันก็บอกว่า 'นั่นแหละเขา' ค่ะ” เธอเล่า “ฉันรู้เลยล่ะ” ผู้อำนวยการสร้างกล่าวเห็นด้วย จูดี้ ไคโรกล่าว “ฮิวจ์เหมือนกับมอร์ติเมอร์ตรงที่ว่าเขาเป็นคนฉลาดและเป็นคนดีมากๆ ด้วย แต่เขาก็มีแง่มุมซุกซน และเป็นคนที่ตลกได้ด้วย ฉันคิดว่าเขาเป็นหนึ่งในนักแสดงหนุ่มที่ถูกมองข้ามมากที่สุดในปัจจุบัน และเขาก็เป็นคู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้อกับแม็กกี้ในการปะทะคารมแบบยุค 40s ฉันคิดไม่ออกเลยว่าจะมีใครที่ดีกว่านี้ที่จะมารับบทมอร์ติเมอร์ได้รึเปล่า” แดนซีเล่าว่าเขาแปลกใจเกือบจะทันทีหลังจากที่ได้เปิดบทภาพยนตร์อ่าน “ผมรู้เรื่องนี้น้อยมาก และปฏิกิริยาของผมแน่นอนคือเสียงหัวเราะ” เขาสารภาพ “แต่พอผมอ่านต่อไป ผมก็ชอบโทนที่ผสมผสานกัน มันมีฉากตลกโปกฮา มีความรักจริงๆ สอดแทรกอยู่ในนั้น และมันก็มีไอเดียที่วิเศษสุดและซีเรียสบางอย่างอยู่ด้วย ในขณะเดียวกัน ก็มีอะไรบางอย่างที่ค่อนข้างมีชีวิตชีวา ร่วมสมัยและสนุกสนานเกี่ยวกับมันครับ” สำหรับแดนซี บทบาทนี้ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยคอมเมดี้เท่านั้นแต่ยังเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในมุมมองของมอร์ติเมอร์ด้วย เพราะเขาเริ่มต้นเรื่องเป็นหมอหัวก้าวหน้า ที่ค้านกับความเชื่อดั้งเดิมทางการแพทย์ที่ว่า การติดเชื้อเกิดจากสิ่งคลุมเครืออย่าง “อากาศไม่ดี” และ “อากาศปนเปื้อน” (ทฤษฎีเชื้อโรคยังคงเป็นความเชื่อที่อันตรายในยุควิคตอเรียน อิกนัซ ฟิลลิป เซมเมลไวส์ แพทย์ศตวรรษที่ 19 ถูกล้อเลียนจากความเชื่อของเขาที่ว่า แพทย์ควรจะล้างมือตัวเอง มากเสียจนเขาสติแตกและถูกส่งตัวไปรักษายังสถานบำบัดโรคจิต) แต่เมื่อเขาได้รับการหยิบยื่นข้อเสนอชีวิตที่สุขสบาย พร้อมกับการทำให้คนไข้ของเขามีความสุขสม...ใครจะอดใจไหวล่ะ แน่นอนว่าไม่ใช่มอร์ติเมอร์ อย่างน้อยที่สุดก็ในตอนแรก แดนซีทึ่งที่ได้รู้ว่า แพทย์ยุควิคตอเรียนที่น่าเคารพได้รักษาผู้หญิงด้วยการนวดเฉพาะส่วนเป็นประจำ แต่เขาก็มองว่ามันเป็นเรื่องของความคิดอ่านที่แตกต่างออกไปนั่นเอง “ผมคิดว่าพวกเขาเชื่อจริงๆ ว่าพวกเขากำลังทำการรักษาอยู่จริงๆ” เขาให้ความเห็น “พวกเขาไม่โง่ และมันก็ไม่ใช่แค่ว่าพวกเขาไม่ได้มีความรู้แบบที่พวกเรามีอยู่ในปัจจุบันเกี่ยวกับเรื่องจิตวิทยา แต่มันเป็นเรื่องของจุดยืนทางศีลธรรมที่ทำให้มันสมเหตุสมผลสำหรับพวกเขา แต่แน่นอนว่าจากมุมมองทางคอมเมดี้ คงไม่มีอะไรที่น่าขันยิ่งไปกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในเวลานั้นหรอกนะครับ!” สำหรับสิ่งที่มอร์ติเมอร์คิดเกี่ยวกับคนไข้หญิงของเขา แดนซีกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “พวกเธอทำให้เขาเหนื่อยครับ แต่การที่เขาไม่สามารถทำการรักษาประจำวันของเขาได้นำเขาไปสู่การคิดประดิษฐ์ที่น่าทึ่งนี้” แดนซีมองมอร์ติเมอร์ว่าเป็นคนที่ต้องการจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง แต่ก็ยอมจำนนต่อสิ่งที่ดูเหมือนเป็นชีวิตที่ดีเป็นการชั่วคราว “ผมคิดว่าลึกลงไปแล้ว มอร์ติเมอร์มองตัวเองว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์หัวก้าวหน้า แต่เมื่อเขาได้รับการหยิบยื่นข้อเสนองานที่มั่นคง มันก็เป็นเรื่องแสนง่ายดายที่จะละทิ้งความทะเยอทะยานและความฝันของตัวเอง จนกระทั่งชาร์ล็อตต์บีบบังคับให้เขาระลึกถึงมันอีกครั้ง” เขาบอก บางทีสิ่งที่ตลกที่สุดสำหรับแดนซีคือการกลับไปกลับมาระหว่างพี่น้องดัลริมเพิลที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว “เขาคิดอะไรมากมายในหัวครับ” เขากล่าวพลางหัวเราะ “ในแง่หนึ่ง เอมิลีเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาใฝ่ฝัน เธอน่ารัก เชื่อฟัง และทำทุกอย่างตามที่พ่อเธอขอ แม้ว่าเธอจะเล่นเปียโนไม่ได้เรื่องและเป็นนักวิจัยกะโหลกศีรษะก็ตาม ในทางกลับกัน ชาร์ล็อตต์ทำให้เขากลัวตั้งแต่แรก เธอเป็นภัยคุกคามทุกอย่างที่เขาคิดว่าเขาต้องการ และเป็นตัวยุ่งอยู่เสมอ แต่แน่นอนว่าเขากลับไม่อาจสลัดเธอออกจากความคิดเขาได้เลย” Maggie Gyllenhaal (แม็กกี้ จิลเลนฮาล) รับบท Charlotte Dalrymple ชาร์ล็อตต์ ดัลริมเพิล สำหรับผู้รับบท ชาร์ล็อตต์ นางเอกผู้ไม่เป็นฮิสทีเรียอย่างแน่นอนของ HYSTERIA ทีมผู้สร้างได้เลือกนักแสดงหญิงผู้ดูเหมือนจะมีความเฉลียวฉลาดและมีชีวิตชีวาเทียบเท่ากับตัวละครที่มีสีสันจัดจ้านตัวนี้ได้ เธอคนนั้นคือแม็กกี้ จิลเลนฮาล ดาราขวัญใจคอหนังอินดีและผู้เพิ่งได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ดหมาดๆ จากบทซิงเกิลมัมผู้ตกหลุมรักดาราตกอับใน CRAZY HEART ประกบเจฟฟ์ บริดเจส “สำหรับชาร์ล็อตต์ เราคิดถึงว่าใครที่พวกผู้หญิงอยากจะเห็นบนหน้าจอ และแม็กกี้ก็เป็นอันดับแรกของลิสต์นั้นค่ะ” เว็กซ์เลอร์ตั้งข้อสังเกต “โชคดีที่จูดี้ ไคโรเพิ่งร่วมงานกับเธอมาและสามารถส่งบทหนังเรื่องนี้ไปให้เธอได้ ซึ่งเธอก็ชอบมัน พอเธอรับบทนี้ มันก็เหมือนกับบทนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อเธอเลยค่ะ” แม้ว่านี่จะเป็นบทที่แตกต่างออกไปอย่างมากสำหรับจิลเลนฮาล ไคโรก็รู้ว่าเธอสามารถตอบรับความท้าทายครั้งนี้ได้ “แม็กกี้คือชาร์ล็อตต์ค่ะ เธอแสบ มีพลังงานเหลือล้น ฉลาด มีความโอบอ้อมอารีและความมีชีวิตชีวา และเธอก็เป็นนักแสดงหญิงที่น่าทึ่งซะด้วย ฉันรู้ว่าด้วยความที่แม็กกี้เองก็เป็นผู้หญิงแกร่งอยู่แล้ว เธอก็สามารถสวมบทบาทของชาร์ล็อตต์ หญิงสาวยุควิคตอเรียนได้ทันที และเธอก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยค่ะ” บทภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้จิลเลนฮาลต้องอึ้งในครั้งแรกที่อ่าน “มันไม่มีจุดอ่อนเลยและฉลาดมากๆ ค่ะ” เธอบอก “มันเป็น โรแมนติกคอมเมดี้ที่เต็มไปด้วยความรักและความเบาสมอง แต่มันก็ยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งสำคัญอย่างเรื่องทางเพศของผู้หญิงและการทำดีเพื่อคนอื่นด้วย หนังโรแมนติกคอมเมดี้ส่วนใหญ่ไม่ได้มีคุณสมบัติอื่นๆ เหล่านี้ ซึ่งก็คือสิ่งที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดฉันอย่างแรง นอกจากนี้ ฉันยังชื่นชอบการที่ไฟของหนังเรื่องนี้ถูกจุดประกายขื้นมาจากผู้หญิง ชาร์ล็อตต์เป็นตัวละครยอดเยี่ยม เป็นผู้ใหญ่จริงๆ ที่ช่วยให้ผู้หญิงพวกนี้ได้เห็นถึงพลังที่พวกเธอมี และผู้ที่เชื่อว่าผู้หญิงคู่ควรที่จะมีชีวิตที่มีความสุขและสำคัญได้น่ะค่ะ” สำหรับจิลเลนฮาล ชาร์ล็อตต์เป็นตัวแทนของฮีโรหญิงที่ไม่ค่อยปรากฏในภาพยนตร์บ่อยนัก “เธอสู้เพื่อหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉันคิดว่าพวกเราในปัจจุบันมองข้ามคุณค่าของมันไป” เธอบอก “ฉันพบว่ามันน่าตื่นเต้นมากๆ ที่ได้เห็นว่าสิทธิที่พวกเรามีความสุขกับมันอยู่ถูกต่อสู้เพื่อให้ได้มันมาอย่างไร มันบอกอะไรบางอย่างกับเราเกี่ยวกับตัวตนของเราและที่มาของเรา คนอย่างชาร์ล็อตต์ไม่เคยเชื่อว่าฮิสทีเรียเป็นโรคร้ายเพราะเธอตระหนักดีว่าผู้หญิงมีเหตุผลที่จริงแท้มากมายที่จะซึมเศร้าหรือไร้สุข และในสายตาของเธอ นั่นเป็นสิ่งที่ควรจะถูกพูดถึงค่ะ” ถ้าชาร์ล็อตต์เป็นแรงบันดาลใจให้กับเธอ เรื่องทางเพศต่างๆ ใน HYSTERIA ก็ทำให้เธอเขินอายจนหน้าแดง แต่จิลเลนฮาลก็กล่าวว่า นั่นคือประเด็นสำคัญ “ฉันรู้สึกเขินและตลกหน่อยๆ เวลาที่พูดถึงหนังเรื่องนี้” เธอสารภาพ “มันแสดงให้เห็นว่าเราเองยังไม่รู้วิธีที่จะพูดถึงเรื่องเพศของผู้หญิงอย่างเปิดเผย ฉันคิดว่าหนังเรื่องนี้จะทำให้คนพูดถึงเรื่องนี้มากขึ้นอีกหน่อยเพราะมันเป็นมุมมองที่สนุกและน่าขบขันเหลือเกินค่ะ” จิลเลนฮาลทุ่มเทให้กับการรับบทชาร์ล็อตต์อย่างสมจริงในฐานะผู้หญิงอเมริกันยุคใหม่ให้มากที่สุด “ฉันฝึกกับโค้ชสอนสำเนียงคนเก่ง เพื่อฝึกสำเนียงของฉันและฉันก็พูดด้วยสำเนียงนั้นเกือบตลอดการถ่ายทำ” เธอตั้งข้อสังเกต “มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับฉันที่ชาร์ล็อตต์จะให้ความรู้สึกเหมือนคนจริงๆ ที่มีลมหายใจและมีเลือดเนื้อ ราวกับเธออยู่ที่นี่ในปี 2011 น่ะค่ะ” ผู้ที่ช่วยเธอในเรื่องนั้นคือทันยา เว็กซ์เลอร์ “ทันยาเยี่ยมมากค่ะ” จิลเลนฮาลกล่าวสรุป “และเธอก็พบวิธีในการผลักดันให้ฉันรับบทเป็นผู้หญิงที่มีความคิดเป็นตัวของตัวเองคนนี้ด้วย!” Jonathan Pryce (โจนาธาน ไพรซ์) รับบท Dr. Dalrymple ดร.ดัลริมเพิล ความไร้กฎระเบียบและความคิดเห็นของชาร์ล็อตต์อาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับบางคน แต่มันเป็นเหมือนยาพิษสำหรับตัวตนของพ่อเธอ และเป็นรอยด่างพร้อยในธุรกิจที่กำลังเฟื่องฟูของเขาในฐานะหนึ่งในแพทย์ผู้รักษาผู้หญิงทีมีอาการฮิสทีเรีย ผู้โด่งดังที่สุดของลอนดอน ผู้ที่รับบทชายอนุรักษ์นิยม ผู้ที่ยืนอยู่แถวหน้าในการนวดคลึงส่วนลับของผู้หญิงก็คือหนึ่งในนักแสดงละครเวทีและจอเงินที่มากความสามารถที่สุดของอังกฤษ โจนาธาน ไพรซ์ เจ้าของสองรางวัลโทนี อวอร์ด ผู้ซึ่งผลงานล่าสุดของเขามีตั้งแต่ภาพยนตร์โดยเทอร์เรนซ์ มาลิคเรื่อง THE NEW WORLD ไปจนถึงบล็อกบัสเตอร์เรื่อง PIRATES OF THE CARRIBEAN “โจนาธานเป็นนักแสดงอัจฉริยะค่ะ” เว็กซ์เลอร์บอก “สิ่งที่ฉันชื่นชอบเกี่ยวกับการที่เขามารับบทนี้คือเขามีจังหวะการแสดงตลกที่ไม่มีใครเทียบได้ แต่โดยเนื้อแท้แล้ว เขาก็ถ่ายทอดความจริงออกมาด้วยค่ะ” ในตอนแรก ไพรซ์รู้สึกสงสัยเกี่ยวกับบทภาพยนตร์อยู่บ้าง แต่พอเขาได้อ่านมัน เขาก็เปลี่ยนใจ “พอผมหายช็อคจากไอเดียนี้แล้ว ผมก็พบว่ามันเป็นเรื่องราวที่เขียนขึ้นได้ดีทีเดียว ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์ของชายและหญิง ซึ่งจริงๆ แล้ว เป็นประเด็นที่มีความเป็นสากลสุดๆ เลยนะครับ” เขากล่าวกลั้วหัวเราะ ภารกิจของเขาในฐานะดร.ดัลริมเพิลคือการแสดงราวกับว่าไม่มีอะไรน่าขันหรือแปลกประหลาดเกี่ยวกับวิธีการรักษาผู้หญิงของเขาเลย “เราไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นคอมเมดี้ เราแสดงมันอย่างตรงไปตรงมา เพราะตัวสถานการณ์เองก็น่าขบขันอยู่แล้วครับ” ไพรซ์อธิบาย “ในความคิดของดัลริมเพิล นี่เป็นวิธีการรักษาทางกาแพทย์ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากจนเขาดูแลธุรกิจตัวเองไม่หวาดไม่ไหวเลยล่ะครับ” อย่างไรก็ดี แม้ว่าตัวละครของเขาอาจจะทำตัวอย่างธรรมดาและตีหน้าปกติ ตัวไพรซ์เองยอมรับว่าเขาเองสนุกกับบทนี้ “นักแสดงหญิงที่วิเศษสุดหลายคนเข้ามารับการรักษา และสิ่งที่ผมสนุกก็คือการได้เห็นว่าพวกเธอมีปฏิกิริยาแตกต่างกันอย่างไรน่ะครับ” เขารำพึง Felicity Jones (เฟลิซิตี้ โจนส์) รับบท Emily Dalrymple (เอมิลี ดัลริมเพิล) ความสำเร็จในหน้าที่การงานของดร.ดัลริมเพิลยังเป็นประโยชน์ต่อเอมิลี ลูกสาวคนโปรดของเขา ผู้ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับชาร์ล็อตต์ ผู้เอาแต่ใจและควบคุมไม่ได้ เอมิลีเป็นตัวแทนของความอ่อนโยนเชื่อฟังโดยแท้ ผู้ที่รับบทนี้คือเฟลิซิตี้ โจนส์ นักแสดงหญิงชาวอังกฤษ ผู้ที่ผลงานเรื่อง LIKE CRAZY ของเธอเป็นภาพยนตร์ฮิตม้ามืดในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ในปีนี้ โจนส์ ผู้เป็นที่รู้จักจากเรื่อง CHALET GIRL และพีเรียดดราม่าอย่าง NORTHANGER ABBEY และ CHERI เป็นหนึ่งในดาราดาวรุ่งในรุ่นของเธอ โจนส์กล่าวว่า HYSTERIA ไม่เหมือนกับภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ “ความงดงามของบทหนังเรื่องนี้คือมันมีลักษณะเหมือนกับดราม่าคอสตูมทั่วๆ ไป แต่คุณก็จะตระหนักได้ว่า มีบางสิ่งที่แตกต่างออกไปเกิดขึ้นค่ะ” เธอกล่าวกลั้วหัวเราะ โดยหัวใจแล้ว เอมิลีเป็นหญิงสาววิคตอเรียนนตามแบบฉบับ ผู้ทำตามหน้าที่ของตัวเองด้วยการยินดีตกลงกับสามีที่พ่อเธอเป็นผู้เลือก แทนที่จะคิดด้วยตัวเอง และโจนส์ก็แสดงบทนี้เช่นนั้น “พี่สาวเธอทั้งกล้าหาญและมั่นใจ ฉันคิดว่ามันทำให้เอมิลียิ่งระวังตัวและทำตัวตามแบบแผนมากยิ่งขึ้นเพื่อทำให้พ่อของเธอพอใจมากที่สุด” โจนส์ตั้งข้อสังเกต “เธอสร้างตัวเองให้กลายเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นกุลสตรีมากที่สุดเท่าที่เธอจะจินตนาการได้ และในตอนแรก มอร์ติเมอร์ก็ค่อนข้างจะประทับใจกับภาพลักษณ์นั้นค่ะ” แต่แล้ว โฉมหน้านั้นก็เริ่มปริแตกออกเมื่อมอร์ติเมอร์เริ่มมองเห็นว่าเขาคู่ควรกับชาร์ล็อตต์มากกว่า “สำหรับฉัน ฉันรู้สึกสนุกมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรักสามเส้านี้ค่ะ” โจนส์บอก “ส่วนหนึ่งของคอมเมดี้ในหนังเรื่องนี้เกิดจากการที่ผู้หญิงคู่นี้ต่างก็มีเสน่ห์ดึงดูดแง่มุมคนละด้านของเขาน่ะค่ะ” สำหรับการเตรียมตัวรับบทนี้ โจนส์ได้อ่านขนบธรรมเนียมของศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะงานอดิเรกของเอมิลีในการทายนิสัยจากกะโหลกศีรษะ มันเป็นศาสตร์ที่เคยได้รับความนิยมเกี่ยวกับการ “อ่าน” นิสัยของคนจากรูปทรงกะโหลกศีรษะ แต่ไม่มีอะไรสามารถเตรียมโจนส์สำหรับทรงผมสุดอลังการของเอมิลี ที่เธอทำเพื่อสร้างความประทับใจในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองการหมั้นระหว่างเธอกับมอร์ติเมอร์ได้”เราเรียกมันว่า 'หอคอยเหลือเชื่อ' ค่ะ” โจนส์กล่าวกลั้วหัวเราะ “มันเป็นทรงผมที่น่าทึ่งและโดดเด่นมากๆ แต่มันก็ไม่ได้จบสวยเลยสำหรับเอมิลี!” Rupert Everett (รูเพิร์ต เอฟเวอร์เร็ตต์) รับบท Edmundเอ็ดมันด์ ผู้ที่รับบทสำคัญใน HYSTERIA คือนักแสดงอีกคนหนึ่งที่โด่งดังจากบทย้อนยุคที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยอามณ์ขำขันประชดประชัน รูเพิร์ต เอฟเวอร์เร็ตต์ เอ็ดมันด์ (เอฟเวอร์เร็ตต์) เป็นชนชั้นสูงผู้เป็นเพื่อนรักของมอร์ติเมอร์ ผู้ที่แผนการที่จะสร้างที่ปัดฝุ่นไฟฟ้าถูกนำพาไปยังทิศทางที่ไม่คาดฝัน เช่นเดียวกับคนอื่นๆ เอฟเวอร์เร็ตต์ไม่อาจต้านทานเสน่ห์ของคอนเซ็ปต์เบื้องหลัง HYSTERIA ได้เลย “คนที่คุณเล่าหนังเรื่องนี้ให้ฟังจะยิ้มในทันที มันมีกลิ่นไอแบบคอมเมดี้เอลลิงในยุค 30s หรือ 40s ครับ” เขาตั้งข้อสังเกตถึงสไตล์ความเป็นอังกฤษแท้ๆ ในคอมเมดี้หลังสงคราม ซึ่งขึ้นชื่อในการผสมผสานความสนุกแบบไร้ขอบเขตเข้ากับการเสียดสีประชดประชัน ยิ่งไปกว่านั้น เอฟเวอร์เร็ตต์เองก็รู้สึกชื่นชอบยุคสมัยดังกล่าวด้วย “ฉากเรื่องนี้ ในยุคสมัยที่ผู้หญิงเพิ่งเริ่มเป็นตัวของตัวเองและอาณาจักรอังกฤษเริ่มจะยุติบทบาท ทำให้อารมณ์ขันนี้มีความลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีกครับ” สำหรับตัวละครของเขา เอฟเวอร์เร็ตต์พูดถึงเขาว่าเป็น “นักประดิษฐ์สุภาพบุรุษตามแบบฉบับ ผู้ใช้ชีวิตเยี่ยงอภิสิทธิชน และมีอิสระที่จะมีความคิดก้าวหน้า” เขากล่าวต่ออีกว่า “ในหลายๆ แง่มุม เขาและมอร์ติเมอร์เป็นเหมือนพี่น้องกัน และพวกเขาก็เป็นเพื่อนรักกันไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นครับ” Ashley Jensen (แอชลีย์ เจนเซน) รับบท Fanny (แฟนนี) และแนะนำSheridan Smith (เชอริแดน สมิธ) ในบท Molly the Lolly (มอลลี เดอะ โลลลี) ผู้ที่มารับบทตัวละครหลักที่เหลือคือผู้หญิงสองคนจากชนชั้นแรงงานในลอนดอน แฟนนี ผู้พักอาศัยในบ้านเช่า คนสนิทของชาร์ล็อตต์ ที่รับบทโดยแอชลีย์ เจนเซน (UGLY BETTY และซีรีส์เอชบีโอ EXTRAS) และอดีตโสเภณี “มอลลี เดอะ โลลลี”ที่รับบทโดยนักแสดงคอมเมดี้ชาวอังกฤษเจ้าของรางวัลโอลิเวียร์ อวอร์ด เชอริแดน สมิธ ผู้เปิดตัวในโลกภาพยนตร์หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการแสดงละครเวทีเรื่อง Legally Blonde, The Musical เจนเซนพูดถึงแฟนนีว่าเป็น “ผู้หญิงที่ไม่มีอะไรซักอย่าง เว้นแต่สามีขี้เหล้า ที่ทุบตีเธอ! เธอตรงข้ามกับผู้หญิงทุกคนที่มาเข้ารับการรักษากับมอร์ติเมอร์ค่ะ” ในความเป็นจริงแล้ว แฟนนีได้ช่วยชาร์ล็อตต์ในการทำให้มอร์ติเมอร์มองเห็นว่า ในขณะที่หญิงสาวร่ำรวยได้รับการนวดเฟ้นสำหรับอาการผิดปกติที่ลึกลับนี้ หญิงสาวชนชั้นแรงงานกลับต้องการการรักษาทางการแพทย์จริงๆ นอกจากนี้ เจนเซนยังได้พัวพันกับประวัติศาสตร์อื่นๆ ของเรื่องราวด้วย “สิ่งที่ฉันคิดว่าเยี่ยมมากเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้คือมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับประเด็นที่ซีเรียสบางอย่าง นอกเหนือจากไวเบรเตอร์ ซึ่งอาจเป็นประเด็นที่ซีเรียสด้วยตัวของมันเองก็ได้! แต่มันยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงที่สละตัวเองเพื่อที่เราจะได้มีสิทธิพลเมืองเทียบเท่ากับผู้ชายน่ะค่ะ” เธอกล่าว “และฉันก็ชอบที่ว่าผู้หญิงหลายคนได้มีตำแหน่งใหญ่โตในหนังเรื่องนี้ มันวิเศษมากที่มีหนังเกี่ยวกับเรื่องทางเพศของผู้หญิงและสิทธิของผู้หญิง ที่สร้างโดยผู้หญิงน่ะค่ะ” และสำหรับสมิธ เธอกล่าวว่า เธอสนุกมากกับบทเปิดตัวในการเป็น “หนูทดลอง” ที่เข้ารับการทดสอบไวเบรเตอร์รุ่นแรกๆ “มันสนุกสุดๆ เลยค่ะ” เธอให้ความเห็น “มันเป็นหนังเรื่องแรกของฉัน ฉันก็เลยทึ่งมากที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงชั้นนำกลุ่มนี้ เราต่างก็สวมคอสตูมและ วิกของเรา แล้วเราก็เปลี่ยนกลายเป็นอีกคนเลยล่ะค่ะ!” แม้ว่าสมิธจะตื่นเต้นกับตัวละครตัวนี้ เธอก็กล่าวว่า ตัวละครที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเธอคือชาร์ล็อตต์ “ฉันคิดว่าเราทุกคนต่างก็ตกหลุมรักเธอค่ะ” เธอสรุป “ลักษณะที่แม็กกี้เล่นเป็นเธอ เธอเป็นนักสู้เหลือเกินและเธอก็ทำให้คุณนึกถึงว่าการเป็นผู้หญิงที่ซื่อสัตย์กับตัวเอง ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่เป็นอย่างไรน่ะค่ะ” ประวัตินักแสดง Maggie Gyllenhaal (แม็กกี้ จิลเลนฮาล) รับบท Charlotte Dalrymple (ชาร์ล็อตต์ ดัลริมเพิล) เป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในปัจจุบัน ล่าสุด เธอได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากบทจีน แครดด็อคใน Crazy Heart ที่เธอแสดงประกบเจฟฟ์ บริดเจส ซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ถึงพรสวรรค์และความสามารถหลากหลายของเธอในฐานะนักแสดงได้เป็นอย่างดี หลังจากได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมล้นหลามจากภาพยนตร์ที่เข้าประกวดเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2002 ที่เธอได้แสดงประกบเจมส์ สเปเดอร์ในภาพยนตร์ไลออนส์ เกทเรื่อง Secretary แล้ว เธอก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในคอมเมดี้หรือมิวสิคัล ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอินดี้เพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ได้รับรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ชิคาโกสาขานักแสดงดาวรุ่งยอดเยี่ยม รางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์บอสตันสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม รางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติสาขาการแสดงแจ้งเกิดยอดเยี่ยมและรางวัลไอเอฟพี/กอทแธมสาขาการแสดงแจ้งเกิดยอดเยี่ยม หลายปีให้หลัง ในงานซันแดนซ์ปี 2007 แม็กกี้ได้แสดงใน Sherrybaby ที่เธอรับทนักโทษหญิงที่ต้องต่อสู้กับอาการลงแดงเพื่อแย่งชิงสิทธิในการเลี้ยงดูลูกสาวของเธอ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการตอบรับจากนักวิจารณ์อย่างดีและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่สอง ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ดราม่า นอกจากนี้ เธอยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอินดี้เพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดปี 2006 สำหรับการแสดงในภาพยนตร์โดยดอน รูสเรื่องHappy Endings ประกบลิซา คุดโรว์และทอม อาร์โนลด์อีกด้วย เธอรับบทราเชล ดอว์สในภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศโดยวอร์เนอร์ บรอส.เรื่อง The Dark Knight ที่กำกับโดยคริส โนแลน นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงในภาพยนตร์โดยแซม เมนเดสเรื่อง Away We Go ล่าสุด แม็กกี้ได้แสดงใน Nanny McPhee and the Big Bang ประกบเอ็มม่า ธอมป์สัน ในเดือนสิงหาคม ปี 2006 เธอได้แสดงประกบจูลีแอนน์ มัวร์, บิลลี ครูดัพและเดวิด ดูคอฟนีย์ใน Trust the Man และประกบมาเรีย เบลโลและนิโคลัส เคจในภาพยนตร์โดยโอลิเวอร์ สโตนเรื่อง World Trade Center นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงประกบวิล เฟอร์เรล, ดัสติน ฮอฟแมน,ควีน ลาติฟาห์และเอ็มมา ธอมป์สันในภาพยนตร์โดยมาร์ค ฟอร์สเตอร์เรื่อง Stranger than Fiction ในช่วงหลายปี่ผ่านมา เธอได้แสดงประกบดาริล ฮันนาห์และลิลลี เทย์เลอร์ในภาพยนตร์โดยจอห์น เซย์เลสเรื่อง Casa de Los Babys และได้แสดงประกบจูเลีย โรเบิร์ตส์, จูเลีย สไตล์สและคริสติน ดันส์ทในภาพยนตร์โดยไมค์ นีเวลเรื่อง Mona Lisa Smile และเธอก็ได้แสดงประกบดิเอโก้ ลูนาและจอห์น ซี. ไรลีย์ในภาพยนตร์เรื่อง Criminal และได้แสดงภาพยนตร์โดยสไปค์ โจนซ์เรื่อง Adaptation จิลเลนฮาล ที่ประสบความสำเร็จบนเวทีละคร รับบท อลิซ ในละครโดยแพทริค เมาเบอร์เรื่อง Closer ที่มาร์ค เทเปอร์ ฟอรัมในลอสแองเจลิสสำหรับผู้กำกับโรเบิร์ต อีแกน และก่อนหน้านี้ที่เบิร์คลีย์ รีเพอร์ทอรี เธียเตอร์ นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงใน Anthony and Cleopatra ที่แวนโบโรห์ เธียเตอร์ในลอนดอน ในปี 2004 เธอได้แสดงในละครโดยโทนี คุชเนอร์เรื่อง Homebody/Kabul ซึ่งจัดแสดงทั้งที่ลอสแองเจลิสและบีเอเอ็ม หลังจากนี้ เธอจะได้แสดงประกบปีเตอร์ ซาร์สการ์ดและมามี กัมเมอร์ในละครโดยแอนตัน ไชคอฟเรื่อง Uncle Vanya เมื่อเร็วๆ นี้ เธอได้แสดงประกบปีเตอร์ ซาร์สการ์ด, เจสสิกา เฮทช์และจอช แฮมิลตันในละครโดยแอนตัน ไชคอฟเรื่อง Three Sistersเธอเปิดตัวในโลกภาพยนตร์ในปี 1992 ด้วยการแสดงประกบเจเรมี ไอรอนส์และอีธาน ฮอว์คใน Waterland ตามมาด้วยการแสดงที่น่าจดจำในบท ราเวน ช่างแต่งหน้าที่บูชาซาตานในภาพยนตร์เสียดสีฮอลลีวูดโดยจอห์น วอเตอร์สเรื่อง Ceeil B. Demented ซึ่งนำไปสู่การร่วมแสดงใน Donnie Darko ทริลเลอร์แฟนตาซีเกี่ยวกับวัยรุ่นที่จิตผิดปกติ จิลเลนฮาลสำเร็จการศึกษาสาขาวรรณคดีจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในปี 1999 Hugh Dancy (ฮิวจ์ แดนซี) รับบท Mortimer Granville (มอร์ติเมอร์ แกรนวิลล์) ล่าสุดได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Our Idiot Brother ที่กำกับโดยเจสซี เปเรทซ์และ Martha Marcymay Marlene และภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องก็ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2011 ด้วยผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของแดนซีได้แก่ Adam, Confessions of a Shopaholic, The Jane Austen Book Club, Evening, Beyond the Gates, King Arthur, Ella Enchanted, The Sleeping Dictionary, Black Hawk Down และ Young Blades ด้านจอแก้ว แดนซีได้แสดงประกบเฮเลน เมอร์เรนและเจเรมี ไอรอนส์ในซีรีส์ดังโดยทอม ฮูเปอร์เรื่อง Elizabeth I เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี่ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในมินิซีรีส์หรือภาพยนตร์ จากบทเอิร์ลแห่งเอสเซ็กส์ และซีรีส์นี้ยังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขามินิซีรีส์หรือภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ยอดเยี่ยมปี 2007 และรางวัลเอ็มมี่ อวอร์ดสาขามินิซีรีส์ยอดเยี่ยมอีกด้วยผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของแดนซีได้แก่ Daniel Deronda, David Copperfield, Relic Hunter และ Madame Bovary ด้านละครเวที แดนซีได้แสดงละครบรอดเวย์โดยเดวิด กรินด์ลีย์เรื่อง A Journey's End ประกบบอยด์ เกนส์, เจฟเฟอร์สัน เมย์สและสตาร์ค แซนด์ ซีรีส์นี้ได้รับรางวัลโทนี อวอร์ดปี 2007 สาขาละครเวทีที่ถูกนำกลับมาแสดงใหม่ยอดเยี่ยม เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้หวนคืนสู่เวทีละครด้วย The Pride ที่เขาแสดงประกบเบน วิชอว์และอังเดร ไรส์โบโรห์เขาสำเร็จการศึกษาสาขาวรรณคดีภาษาอังกฤษจากเซนต์ปีเตอร์ส คอลเลจ, อ็อกซ์ฟอร์ด Jonathan Pryce (โจนาธาน ไพรซ์) รับบท Dr. Dalrymple (ดร.ดัลริมเพิล) เป็นนักแสดงที่โด่งดังระดับโลก ที่เป็นที่รู้จักจากการแสดงโดดเด่นทั้งบนเวทีและจอเงิน ไพรซ์ได้สร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมทั้งสองฟากฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกทั้งจากการแสดงละครเวทีเรื่อง Hamlet และ Miss Saigon รวมไปถึงการแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Carrington และ Pirates of the Caribbean ไพรซ์ได้ศึกษาที่ราดาและหลังจากสำเร็จการศึกษา เขาก็ได้ร่วมงานกับลิเวอร์พูล เอเวอรีแมน เธียเตอร์ คัมปะนีนาน 18 เดือน ตามมาด้วยการแสดงที่นอตติงแฮม เพลย์เฮาส์ภายใต้การกำกับของริชาร์ด แอร์ หลังจากนั้น เขาก็ได้หวนคืนสู่เอเวอรีแมนอีกครั้งเพื่อรับตำแหน่งผู้อำนวยการศิลป์นานหนึ่งซีซั่น หลังจากนั้น เขาก็มีผลงานละครเวทีมากมาย ในปี 1975 ไพรซ์ได้แสดงในละครโดยเทรเวอร์ กริฟฟิธส์เรื่อง Comediansที่กำกับโดย ริชาร์ด แอร์ที่โอลด์ วิค ก่อนจะได้แสดงบทเดียวกันในนิวยอร์ก ที่กำกับโดยไมค์ นิโคลส์ ที่ซึ่งเขาได้รับรางวัลโทนี อวอร์ดเป็นครั้งแรก หลังจากนั้น เขาก็ได้แสดงกับรอยัล เชคสเปียร์ คัมปะนีหนึ่งซีซัน ด้วยบทนำใน The Taming of the Shrew, Antony and Cleopatra และ Measure for Measure และในปี 1980 ไพรซ์ได้รับรางวัลโอลิเวียร์ อวอร์ดจากละครดังเรื่อง Hamlet ที่กำกับโดยริชาร์ด แอร์ ที่รอยัล คอร์ท ผลงานละครเวทีหลังจากนั้นได้แก่ Tally’s Folly ที่ไลริค เธียเตอร์ แฮมเมอร์สมิธ เขารับบทตัวตลกในละครบรอดเวย์เรื่อง Accidental Death of an Anarchist, The Doctor and the Devils ที่กำกับโดยเฟร็ดดี้ ฟรานซิส, The Seagull ประกบวาเนสซา เรดเกรฟ, Macbeth ที่อาร์เอสซีและ Uncle Vanya ที่กำกับโดยไมเคิล เบลคมอร์ ในปี 1989 ไพรซ์ได้รับบทวิศวกรในมิวสิคัลเรื่อง Miss Saigon ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลโทนี ดราม่าเดสก์ โอลิเวียร์และสมาคมนักวิจารณ์เอาเตอร์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในมิวสิคัล รวมทั้งเขายังได้แสดงในมิวสิคัลอื่นๆ อีกหลายเรื่องเช่น Oliver! และ My Fair Lady ในลอนดอนและละครบรอดเวย์เรื่อง Dirty Rotten Scoundrels ผลงานละครล่าสุดของไพรซ์ได้แก่ The Goat or Who Is Sylvia? ที่อัลเมดา เธียเตอร์และอพอลโล เธียเตอร์ ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโอลิเวีย อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, Glengarry Glen Ross ที่กำกับโดยเจมส์ แม็คโดนัลด์, Dimetos ที่ดอนมาร์ แวร์เฮาส์และการแสดงสำคัญในบทเดวีส์ใน The Caretaker ซึ่งเปิดแสดงที่ลิเวอร์พูล เพลย์เฮาส์ ก่อนที่จะไปจัดแสดงที่เวสต์เอนด์ในปี 2010 ความสำเร็จของไพรซ์บนเวทีละครได้สะท้อนไปยังความสำเร็จบนจอเงินของเขาด้วยเช่นกัน ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกๆ ของเขาได้แก่ภาพยนตร์โดยสจวร์ต โรเซนเบิร์กเรื่อง Voyage of the Damned, ภาพยนตร์โดยไบรอัน กิ๊บสันเรื่อง Breaking Glass ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลอีฟนิง สแตนดาร์ด อวอร์ดสาขานักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม, ภาพยนตร์โดยแจ็ค เคลย์ตันเรื่อง Something Wicked This Way Comes และภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลโดยเทอร์รี กิลเลียมเรื่อง Brazil ซึ่งตามมาด้วยการได้ร่วมงานกับกิลเลียมในภาพยนตร์อีกสองเรื่องได้แก่ The Adventures of Baronmunchausen และ The Brothers Grimm ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ได้แก่ The Plougman's Lunch, Man on Fire, Consuming Passions, Jumpin's Jack Flash, Barbariansat the Gate (ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี่และลูกโลกทองคำ), The Age of Innocence และ Glengarry Glen Ross และในปี 1995 เขาก็ได้แสดงในภาพยนตร์โดยคริสโตเฟอร์ แฮมป์ตันเรื่อง Carrington ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์และรางวัลอีฟนิง สแตนดาร์ด อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาอวอร์ด หลังจากนั้น เขาก็ได้แสดงประกบมาดอนนาใน Evita และบทบาทที่น่าจดจำเป็นตัวร้ายเจมส์ บอนด์ใน Tomorrow Never Dies และบทบาทอื่นๆ ใน Ronin และ Stigmata ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ Bedtime Stories ที่กำกับโดยอดัม แชงค์แมน, G.I.Joe: The Rise of Cobra ที่กำกับโดยสตีเฟน ซอมเมอร์ส, My Zinc Bed ที่กำกับโดยแอนโธนี เพจ, Leatherheads ที่กำกับโดยจอร์จ คลูนีย์, De-Lovely ที่กำกับโดยเออร์วิน วอล์คเกอร์, What A Girl Wants ที่กำกับโดยเออร์วิน วิงค์เลอร์และ The Affair of the Necklace ที่กำกับโดยชาร์ลส์ ไชเออร์ นอกจากนี้ เขายังเป็นที่รู้จักจากผู้ชมนับล้านจากบทผู้ว่าการเวธเธอร์บี้ สวอนน์ใน Pirates of the Caribbean ทั้งสามภาคได้แก่ The Curse of the Black Pearl, Dead Man's Chest และ At World's End ผลงานจอแก้วของเขาได้แก่การแสดงบทวอลเลซในภาพยนตร์บีบีซี ทีวีเรื่อง The Man from the Pru และภาพยนตร์สี่ตอนโดยเกิร์ด ไฮเดอร์แมนน์เรื่อง Selling Hitler เขาได้แสดงใน Great Moments in Aviation สำหรับบีบีซี ฟิล์มส์ ที่กำกับโดยบีแบน คิดรอน เขาได้รับบทเชอร์ล็อค โฮล์มส์ใน Baker Street Irregulars ที่กำกับโดยจูเลียน เคมป์สำหรับอาร์ดีเอฟ มีเดียและบทนำใน Thicker Than Water สำหรับบีบีซี ทีวี ล่าสุด ไพรซ์รับบทมิสเตอร์บักซ์ตันใน Cranford: Return to Cranford ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี่สาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยมในมินิซีรีส์หรือดราม่า ความสำเร็จมากมายในแวดวงจอแก้ว จอเงินและละครเวที ทำให้เขาได้รับปริญญาดุษฎีกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูลในปี 2006 และในปี 2009 เขาก็ได้รับเครื่องราชย์ฯชั้นซี.บี.อี. ในงานพิธีพระราชสมภพของสมเด็จพระราชินีนาถ Rupert Everett (รูเพิร์ต เอฟเวอร์เร็ตต์) รับบท Edmundเอ็ดมันด์ เข้าศึกษากับเบเนดิคทิน มังค์ ที่แอมเปิลฟอร์ธ คอลเลจ ที่ซึ่งเขาได้กลายเป็นนักเปียโนที่ประสบความสำเร็จและได้ฝึกฝนการเป็นนักแสดงที่เซ็นทรัล สคูล ออฟ สปีช แอนด์ ดราม่า ในลอนดอน ก่อนที่จะจากมาด้วยความขัดแย้งกับคณาจาย์ เขาได้เข้าร่วมคณะกลาสโกว์ ซิติเซนส์ เธียเตอรร์ และได้แสดงในละครเวทีหลายเรื่อง เช่น Don Juan และ Heartbreak House ในปี 1984 เขาได้แจ้งเกิดในแวดวงภาพยนตร์ด้วยบทกาย เบนเน็ตต์ใน Another Country ซึ่งเขาประสบความสำเร็จในการแสดงบทนี้บนเวที และทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา สาขานักแสดงดาวรุ่งยอดเยี่ยม หลังจากนั้น เขาก็รับบทคนรักผู้อับโชคของฆาตกรหญิง รูธ เอลลิสในภาพยนตร์โดยไมค์ นีเวลเรื่อง Dance with a Stranger และได้รับบทนำในภาพยนตร์โดยอังเดร คอนชาลอฟสกี้เรื่อง Duet for One, ภาพยนตร์โดยพอล ชเรเดอร์เรื่อง The Comfort of Strangers, ภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต อัลท์แมนเรื่อง Pret a Porter, ภาพยนตร์โดยนิโคลัส ไฮท์เนอร์เรื่อง The Madness of King George และบทลอร์ด รัธเลดจ์ ประกบลิงอุรังอุตังใน Dunston Checks In เขาสร้างความประทับใจใหญ่หลวงในบทเพื่อนเกย์ของจูเลีย โรเบิร์ตส์ใน My Best Friend's Wedding ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาเป็นครั้งที่สอง หลังจากนั้น เขาก็ได้รับบทคริสโตเฟอร์ มาร์โลว์ แบบไม่ใส่เครดิตใน Shakespeare in Love และในภาพยนตร์โดยโอลิเวอร์ ปาร์คเกอร์ที่สร้างจากนิยายโดยออสการ์ ไวลด์เรื่อง An Ideal Husband ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลภาพยนตร์ยุโรป เขารับบทตัวร้ายใน Inspector Gadget ได้แสดงประกบมาดอนนาในภาพยนตร์โดยจอห์น ชเลสซิงเกอร์เรื่อง The Next Best Thing และได้กลับมาร่วมงานกับโอลิเวอร์ ปาร์คเกอร์อีกครั้งในภาพยนตร์ที่สร้างจาก The Importance of Being Earnest ของออสการ์ ไวลด์ ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ภาพยนตร์โดยพี.เจ. โฮแกนเรื่อง Unconditional Love, บทชาร์ลส์ที่หนึ่งใน To Kill a King, ภาพยนตร์โดยริชาร์ด แอร์เรื่อง Stage Beauty, บทเจ้าชายรูปงาม ใน Shrek 2 และ Shrek the Third และพากย์เสียงมิสเตอร์ฟ็อกซ์ใน The Chronicles of Nania: The Lion, the Witch and the Wardrobe ผลงานล่าสุดของเขาได้แก่ภาพยนตร์โดยแมทธิว วอห์นเรื่อง Stardust, บทควบอาจารย์ใหญ่และน้องชายของเธอใน St. Trinian's 1 และ 2 และ Wild Target ที่เขาแสดงประกบบิล ไนฮีย์และเอมิลี บลันท์ Ashley Jensen (แอชลีย์ เจนเซน) รับบท Fanny (แฟนนี) ผู้มีทั้งไหวพริบ เสน่ห์และจังหวะในการแสดงตลก ได้สร้างความประทับใจให้กับทั้งผู้ชมและผู้อยู่ในแวดวงบันเทิงไม่ต่างกัน เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี (สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในมินิซีรีส์หรือภาพยนตร์) จากผลงานของเธอใน Extras: The Extra Special Series Finale ได้รับรางวัลนักแสดงหญิงตลกจอแก้วยอดเยี่ยมและรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจาก “นักแสดงจอแก้วหญิงที่ตลกที่สุด” ประจำปี 2005 ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแสดงตลกที่ไม่สั่นคลอนของเธอ เจนเซนได้กลับมารับบทตัวประกอบภาพยนตร์ แม็กกี้ จาค็อบส์อีกครั้งในซีซั่นที่สองของซีรีส์เอชบีโอเรื่อง Extras และเอพิโซดพิเศษช่วงคริสต์มาส ประกบริคกี้ เกอร์เวส Extras ที่มีดารารับเชิญชั้นนำอย่างเคท วินสเล็ต, เบน สติลเลอรร์และซามวล แอล. แจ็คสันในบทล้อเลียนตัวเอง ยังคงขยายขอบเขตการแสดงตลกของพวกเขาในทุกสัปดาห์ Extras เดิมออกอากาศทางบีบีซี 2 ในอังกฤษ ในปี 2006 เธอได้รับรางวัลโรส ดิ ออร์ สาขานักแสดงหญิงซิทคอมยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์มอนติ คาร์โลปี 2006 นอกจากนี้ เธอยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา สาขานักแสดงนำหญิงตลกยอดเยี่ยมในซีรีส์คอมเมดี้ เธอได้รับการยกย่องให้เป็นนักแสดงตลกหญิงยอดเยี่ยมแห่งปี 2006 โดยนิตยสารกลาเมอร์และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลวิน อวอร์ดจากการแสดงของเธอใน Extras นอกจากนี้ เธอยังเป็นที่รู้จักจากบทคริสตินา แม็คคินนีย์ผู้น่ารักในซีรีส์ยอดนิยมทางเอบีซีเรื่อง Ugly Betty อีกด้วย ล่าสุด เธอได้แสดงประกบเจนนา เอลฟ์แมนในซิทคอมทางซีบีเอสเรื่อง Accidentally on Purpose นอกจากนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ เธอยังได้แสดงในซีรีส์ดราม่าโดยบีบีซี อเมริกาเรื่อง Eleventh Hour ที่เธอได้แสดงประกบแพทริค สจวร์ต ในบทราเชล ยัง เจ้าหน้าที่รักษากฎหมาย เธอได้ฝึกฝนฝีมือการแสดงของเธอในดราม่าลุ้นระทึกเกี่ยวกับการเมืองเรื่องนี้ด้วย ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ Rebus, Clocking Off, City Central, Sweet Medicine, Two Thousand Acres of Sky และ Outside the Rules ผลงานของเธอในจอเงินได้แก่ A Cook and Bull Story และ Topsy-Turvy นอกจากนี้ เธอยังได้พากย์เสียงเฟลมมา เดอะ เฟียร์ซในภาพยนตร์ดรีมเวิร์คส์เรื่อง How to Train Your Dragon และบทนาเน็ตต์ในภาพยนตร์ดิสนีย์เรื่อง Gnomeo and Juliet อีกด้วยเจนเซนเกิดในสก็อตแลนด์และปัจจุบัน เธออาศัยอยู่ในลอสแองเจลิส Sheridan Smith (เชอริแดน สมิธ) ในบท Molly the Lolly เปิดตัวในโลกภาพยนตร์ด้วย Hysteria สมิธเกิดในเอพเวิร์ธในลินคอล์นเชียร์และตั้งแต่เด็กๆ เธอก็ได้เริ่มเต้นกับคณะเดอะ จอยซ์ เมสัน สคูล ออฟ แดนซิงและเนชันแนล ยูธ มิวสิค เธียเตอร์ และเธอก็ได้แสดงบทนำในละครเรื่อง Bugsy Malone และ Into the Woods เธอได้แสดงในซีรีส์โทรทัศน์หลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงซีรีส์อังกฤษยอดนิยมเรื่อง Two Pints of Lager and a Packet of Crips, The Royle Family และ Gavin & Stacey ผลงานละครเวทีของเธอได้แก่บทออเดรย์ใน Little Shop of Horrors และล่าสุด เธอก็ได้รับบทแอล วู้ดส์ใน Legally Blonde The Musical ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลโอลิเวียร์ อวอร์ดปี 2011 Felicity Jones (เฟลิซิตี้ โจนส์) รับบท Emily Dalrymple (เอมิลี ดัลริมเพิล) เป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงที่รุ่งโรจน์ที่สุดในรุ่นของเธอ เมื่อเร็วๆ นี้ เธอได้แสดงในภาพยนตร์โดยจูลีย์ เทย์เมอร์ที่ดัดแปลงจากละครของวิลเลียม เชคสเปียร์เรื่อง The Tempest, ภาพยนตร์โดยผู้กำกับไนอัล แม็คคอร์มิค ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงบาฟตาเรื่อง Albatross, โรแมนติก คอมเมดี้เรื่อง Like Crazy และ The Chalet และใน Soulboy ดราม่าเกี่ยวกับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในแวดวงดนตรีใต้ดินของนอร์ธเธิร์น โซลยุค 70s ซึ่งได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมในงานเทศกาลภาพยนตร์เอดินเบิร์กห์ หลังจากนี้ เธอจะได้แสดงในภาพยนตร์โดยเดวิด แฮร์เรื่อง Page Eight ประกบราล์ฟ ไฟน์, ราเชล ไวซ์และบิล ไนฮีย์และคอมเมดี้เรื่อง Cheerful Weather for the Wedding ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ได้แก่ Cemetary Junction คอมเมดี้เขียนบทและกำกับโดยริคกี้ เกอร์เวสและสตีเฟน เมอร์แชนท์ และภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง The Hangup ที่สร้างจากบทละครวิทยุปี 1980 ของแอนโธนี มิงเกลลา โจนส์ได้แสดงบทเอ็ดเมใน Cheri ที่กำกับโดยสตีเฟน เฟรียส์และร่วมแสดงโดยมิเชลล์ ไฟเฟอร์, เคธี เบทส์และรูเพิร์ต เฟรนด์ ผลงานจอเงินเรื่องอื่นๆ ของเธอยังรวมถึงบทเลดี้คอร์ดีเลีย ไฟลท์ในรีเมกเรื่อง Brideshead Revisited ที่กำกับโดยจูเลียน จาร์โรลด์ และร่วมแสดงโดยแมทธิว กู๊ด, เบน วิชอว์และเฮย์เลย์ แอทเวลและ Flashbacks of a Fool ประกบแดเนียล เคร็ก, แฮร์รี เอเดน, แร็ปเปอร์ อีฟ, คีลลีย์ ฮอว์สและโอลิเวีย วิลเลียมส์ ด้านจอแก้ว เธอรับบทพี่สาวของแอนน์ แฟรงค์ มาร์ก็อทในซีรีส์บีบีซีเรื่อง The Diary of Anne Frank และได้นำแสดงในดราม่าน่าขนลุกของแชนแนล โฟร์เรื่อง Cape Wrath นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงในซีรีส์ที่สร้างจากนิยายโดยเจน ออสเตนเรื่อง Northhanger Abbey ทีกำกับโดยจอน โจนส์ ในบทแคทเธอรีน มอร์แลนด์อีกด้วย เธอรับบทโรบินา เรดแมนในซีรีส์ไซไฟฮิตทางบีบีซีเรื่อง Doctor Who ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ได้แก่ Servants, Weirdsister College และดรามาสำหรับเด็กเรื่องThe Worst Witch นอกจากผลงานจอแก้วและจอเงินแล้ว เธอยังได้สร้างชื่อในแวดวงโทรทัศน์ด้วยการพากย์เสียงเอ็มมา กรันดี้ในละครยอดนิยมทางบีบีซี เรดิโอ 4 เรื่อง The Archers ผลงานละครวิทยุเรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ Watership Down, What a Drag และ Mansfield Park ทั้งหมดให้กับบีบีซี เรดิโอ 4 นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงละครเวทีหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง That Face ที่รอยัล คอร์ท เธอรับบทไมอา ภายใต้การกำกับของเจเรมี เฮอร์ริน เธอได้ร่วมกับไมเคิล แกรนด์เอจแสดงในบทลอเรลในละครโดยเอนิด แบ็กโนลด์เรื่อง The Chalk Garden เธอได้แสดงประกบมาร์กาเร็ต ไทแซ็คและเพเนโลเป้ วิลตันที่ดอนมาร์ แวร์เฮาส์ บทนี้ทำให้โจนส์ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากการแสดงของเธอและทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอีฟนิง สแตนดาร์ด เธียเตอร์ อวอร์ด ฟอร์ เดอะ มิลสตัน ชูลแมนสาขานักแสดงดาวรุ่งยอดเยี่ยม ประวัติผู้กำกับ Tanya Wexler (ทันยา เว็กซ์เลอร์) Director (ผู้กำกับ) ได้พัฒนา Hysteria ขึ้นมาร่วมกับผู้อำนวยการสร้างเทรซีย์ เบ็คเกอร์ จากทรีทเมนต์สั้นๆ สองหน้า และรู้ว่าเธอจะต้องสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับจุดกำเนิดของไวเบรเตอร์ให้จงได้ เธอเกิดและเติบโตในชิคาโก้, อิลลินอยส์ และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเยล เธอได้เข้าศึกษาที่สคูล ออฟ เดอะ อาร์ตส์แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบียก่อนจะได้รับปริญญาโทสาขากำกับภาพยนตร์ ซึ่งเธอได้สร้างภาพยนตร์ขนาดสั้นสองเรื่องได้แก่ The Dance (เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเทลลูไรด์และเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ ซีแอตเติล) และ Cool Shoes (ได้รับรางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติฮูสตัน) ผลงานภาพยนตร์สองเรื่องของเธอคือ Ball in the House ที่เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต (หรือ Relative Evil) นำแสดงโดยเจนนิเฟอร์ ทิลลี, เดวิด สเตรเธรน, โจนาธาน ทัคเกอร์และอีธาน เอ็มบรี้และ Finding North (เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปาล์ม สปริงส์, เทศกาลภาพยนตร์เกย์และเลสเบียนนิวยอร์ก, แอลเอ เอาท์เฟสต์, เทศกาลภาพยนตร์เกย์และเลสเบียนไซไฟ) ที่นำแสดงโดยเวนดี้ แม็คเคนาและจอห์น เบนจามิน ฮิคกี้ ผลงานภาพยนตร์ของเธอได้เข้าฉายในประเทศต่างๆ ทั่วโลกและในงานเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆ ทันยาใช้ชีวิตอยู่ในนิวยอร์กกับคู่ชีวิตของเธอและลูกๆ สี่คน เท่าที่เรารู้ เธอไม่เคยได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการฮิสทีเรียมาก่อน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ