กรุงเทพฯ--25 พ.ค.--Four Hundred
พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ชีวิตที่เร่งรีบ พฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่ถูกต้อง ความเครียดที่รุมเร้าไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือชีวิตประจำวัน หากคุณเป็นหนึ่งคนที่พบกับปัญหาเหล่านี้ โอกาสที่จะเป็นโรค (Gastro-Esophageal Reflux Disease; GERD) หรือ “โรคกรดไหลย้อน” กำลังมาถึงตัวคุณอย่างจัง ไม่เว้นกระทั่งเด็ก และสตรีมีครรภ์
ถึงแม้ว่า “โรคกรดไหลย้อน” จะไม่ใช่โรคที่อันตรายถึงชีวิต แต่ก็สามารถทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยลดลง “โรคกรดไหลย้อน” (Gastro-Esophageal Reflux Disease; GERD) คือภาวะที่มีกรด และน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจรวมไปถึงเอนไซม์เปบซิน และน้ำดี ไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร ซึ่งหลอดอาหารเป็นอวัยวะที่ไม่ทนต่อกรด จึงทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร
โดยปกติ หลอดอาหารจะมีการบีบตัวไล่อาหารลงสู่ด้านล่าง และหูรูดจะทำหน้าที่ป้องกันการไหลย้อนของน้ำย่อย กรด หรืออาหาร ไม่ให้ไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร แต่ในบางคนนั้นหูรูดส่วนนี้ทำงานได้น้อยลง จึงทำให้มีกรด หรือน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาทำให้ผนังหลอดอาหารอักเสบ
และการไหลย้อนของกรด ถ้ามีมาก อาจไหลออกนอกหลอดอาหาร อาจทำให้มีผลต่อกล่องเสียง ลำคอ หรือปอดได้ ถึงแม้โรคกรดไหลย้อนจะไม่ใช่โรคก่อให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตดังกล่าวข้างต้น แต่หากละเลยไม่ทำการรักษา อาจทำให้เรื้อรัง มีความเสี่ยงให้กลายเป็น “มะเร็งหลอดอาหาร” ได้
ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคนี้คือ Hiatus hernia (เป็นโรคที่เกิดจากกระเพาะอาหารส่วนต้นเข้าไปในกระบังลม) ,ดื่มสุรา ,อ้วน ,ตั้งครรภ์ ,สูบบุหรี่,กินอาหารมื้อหนัก ตอนดึก ๆ , อาหารรสเปรี้ยว เผ็ด,อาหารมัน ของทอด, ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs, ช็อกโกแลต
อาการและสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังเป็น “โรคกรดไหลย้อน” ก็คือ ปวดแสบร้อนบริเวณกลางอก และหรือบริเวณลิ้นปี่ (heart burn), รู้สึกมีก้อนอยู่ในคอ, กลืนลำบาก หรือกลืนแล้วเจ็บ, เจ็บคอหรือแสบลิ้นเรื้อรัง โดยเฉพาะในตอนเช้า หรือไอแห้ง, รู้สึกเหมือนมีรสขมของน้ำดี หรือมีรสเปรี้ยวของกรดในคอหรือปาก, มีเสมหะอยู่ในคอ หรือระคายคอตลอดเวลา เรอบ่อย คลื่นไส้ และรู้สึกจุกแน่นอยู่ในหน้าอก คล้ายอาหารไม่ย่อย ซึ่งอาการเหล่านี้จะรุนแรงขึ้นหรือเกิดได้บ่อยขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความเครียดในการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน
การศึกษาในประเทศอเมริกา พบว่า 60% ของผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนมีอาการปานกลางถึงรุนแรง ซึ่งในระยะนี้ผู้ป่วยจะมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง โดย 75% นอนหลับยาก 51% รบกวนการทำงาน และอีก 40% ออกกำลังกายไม่ได้ หากคุณละเลยไม่ดูแลรักษา ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิด “มะเร็งหลอดอาหาร” ได้ ดังนั้นการปรับเปลี่ยนเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ควบคุมจัดการความเครียด, พฤติกรรมการรับประทานอาหาร จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรจะทำเป็นสิ่งแรก หากจำเป็นต้องรับประทานยาควรเลือกทานยาที่สามารถป้องกันการไหลย้อนของ กรด น้ำย่อยในกระเพาะอาหาร เพื่อรักษาอาการและถ้าหากมีอาการมากหรือบ่อยๆ ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม
ข้อมูลโดย น.พ. วิชัย วิริยะอุตสาหกุล อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลเทพธารินทร์