กรุงเทพฯ--28 พ.ค.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์
สยามแก๊สฯ (SGP) มั่นใจ ‘เอาอยู่’ บริหารคลังเก็บแก๊สที่ใหญ่ที่สุดในจีนแบบมืออาชีพ ลดการรับสินค้าเข้าสต๊อกในช่วงที่ราคาแก๊สในตลาดโลกอยู่ในระดับสูงลดความเสี่ยงการเก็บสินค้าที่มีต้นทุนสูง ทะยอยซื้อเข้าในช่วงที่ราคาตลาดโลกเริ่มลดลง ชี้ความต้องการแก๊สยังเติบโตต่อเนื่อง ตลาดต่างประเทศยังมีโอกาสที่จะขยายได้อีกมาก ขณะที่ตลาดทั้งในและต่างประเทศยังมีความต้องการใช้แก๊สสูง เร่งขยายคลังแก๊สในตลาดจังหวัด หวังสร้างโอกาสทางการตลาด พร้อมลงทุนเปิดสถานีบริการแก๊สเพิ่มทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รองรับปริมาณความต้องการใช้ในกลุ่มรถยนต์และกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่ใช้แก๊สแอลพีจีเพิ่มขึ้น มั่นใจปีนี้โตได้ 30% ตามเป้า หลังจากไตรมาสแรกทำตัวเลขรายได้โต 30% และกำไรสุทธิโตถึง 146%
นางจินตณา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทสยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SGP กล่าวถึงกรณีที่ราคาตลาดโลกของแก๊สแอลพีจีลดลงว่า โดยปกติแล้วในช่วงนี้ความต้องการใช้แก๊สจะลดลง ส่งผลต่อราคาแก๊สในตลาดโลกด้วย ซึ่งไม่ได้นอกเหนือจากการคาดการณ์ของบริษัทฯ และสอดคล้องกับการบริหารคลังเก็บแก๊สของบริษัทฯ ที่ลดปริมาณสินค้าคงเหลืออยู่ในระดับต่ำก่อนที่ราคาแก๊สจะปรับตัวลดลงมา
“ในไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมาต่อเนื่องไตรมาส 1 ปีนี้ SGP บริหารสต๊อกสินค้าในต่างประเทศได้มีประสิทธิผล สามารถเก็บเกี่ยวผลกำไรได้ในระดับสูงตามฤดูกาล แต่ในไตรมาส 2 ปีนี้ ราคาแก๊สในตลาดโลกลดต่ำลง เป็นสิ่งที่เราคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ซึ่งหนึ่งในเหตุผลหลักเป็นเพราะเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูร้อน ความต้องการใช้แก๊สแอลพีจีส่วนหนึ่งในการทำความร้อนลดลง เราจึงได้เริ่มลดปริมาณสต๊อกแก๊สลงมาตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรก โดยจะซื้อเข้ามาเก็บไว้แค่ให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า ซึ่งช่วยให้เราสามารถลดความเสี่ยงจากการมีสต๊อกแก๊สที่ต้นทุนสูง เมื่อราคาแก๊สตลาดโลกลดลง” นางจินตณา กล่าว
สำหรับความต้องการใช้แก๊สในตลาดโลกนั้นยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในทวีปเอเชียที่เศรษฐกิจยังคงมีการเติบโตที่ดี เช่น ประเทศจีนที่เศรษฐกิจมีความแข็งแกร่ง และภาครัฐเองมีนโยบายลดภาษีนำเข้าแก๊สแอลพีจีเพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้แก๊สแอลพีจีภายในประเทศทดแทนการใช้น้ำมันที่ก่อให้เกิดมลพิษในอากาศมากกว่า ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถขายแก๊สแอลพีจีล็อตใหญ่ๆ ให้กับผู้ซื้อที่เป็นผู้ค้ารายใหญ่ๆ ในประเทศจีนและผู้ค้าในประเทศใกล้เคียงได้มากขึ้น ซึ่งช่วยสร้างรายได้ในตลาดต่างประเทศของ SGP ให้มีความแข็งแกร่งและมีอัตราการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะทำให้สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศปรับเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 60% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนประมาณ 50% ของรายได้รวมของบริษัทฯ
“ผู้ค้าแก๊สรายใหญ่ๆ ในจีนและประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ต้องซื้อแก๊สจากเรา เนื่องจากผู้ค้าเหล่านั้นไม่ได้มีคลังเก็บแก๊สที่มีขนาดใหญ่เท่ากับของเรา ทำให้เขาไม่สามารถจะซื้อแก๊สจากตะวันออกกลางในปริมาณที่เหมาะสมกับต้นทุนการขนส่งได้แบบของเรา ซึ่งการที่เรามีคลังเก็บแก๊สขนาดใหญ่ 2 แห่งในจีน ที่เมื่อรวมกันแล้วถือว่าใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และยุทธศาสตร์ในการขยายตลาดโดยใช้เรือขนส่งแก๊สขนาดใหญ่หรือ VLGC เป็นคลังลอยน้ำใกล้ประเทศสิงคโปร์ เพื่อเจาะตลาดประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นข้อได้เปรียบสำคัญของ SGP นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมา SGP ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการทำตลาดในต่างประเทศโดยก้าวขึ้นเป็นผู้นำเข้าและส่งออกอันดับหนึ่งของประเทศจีน ซึ่งทำให้บริษัทมีชื่อเสียงและเป็นที่เชื่อมั่นของลูกค้าทั้งในด้านคุณภาพและการให้บริการที่แน่นอน จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะส่งเสริมให้ SGP เติบโตไปอย่างมั่นคงในตลาดต่างประเทศ” นางจินตณากล่าว
รองกรรมการผู้จัดการ บมจ. สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ กล่าวเพิ่มเติม ในส่วนความต้องการใช้แก๊สภายในประเทศว่า ยังคงมีความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากกลุ่มยานยนต์และกลุ่มอุตสาหกรรมมีการขยายตัวที่ดี ส่วนกลุ่มผู้ประกอบอาหารก็ยังคงเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น บริษัทฯ จึงเพิ่มการเก็บแก๊สในคลังแก๊สที่อยู่ตามภูมิภาค ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น ลำปาง นครสวรรค์ และสุราษฎร์ธานี เพื่อรองรับการขายแก๊สจากปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้น พร้อมกันนี้ ยังเพิ่มการลงทุนขยายสถานีบริการแก๊สในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดตามหัวเมืองใหญ่อีก 8 แห่ง เพื่อผลักดันเป้าหมายยอดขายแก๊สแอลพีจีในประเทศให้แตะระดับ 1.3 ล้านตันในปีนี้
ทั้งนี้ จากการประเมินภาพรวมทั้งหมด ทำให้บริษัทฯ ยังคงมั่นใจว่ารายได้จะเติบโตได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ 30% และมีผลกำไรที่เติบโตในทิศทางเดียวกัน ซึ่งช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้ 11,322 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้ 8,689 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 747 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 146% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่ทำกำไรสุทธิ 304 ล้านบาท