กรุงเทพฯ--29 พ.ค.--สหมงคลฟิล์ม
แนะนำตัว
สวัสดีครับผม น้อย กฤษดา สุโกศล แคลปป์
ความรู้สึกที่ได้ร่วมงานในภาพยนตร์เรื่อง อันธพาล
รู้สึกว่าโชคดีจริงๆ ที่พี่โขม ผู้กำกับ และพี่ปุ๊กกี้ โปรดิวเซอร์ ชวนมาเล่นหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่าหนังสไตล์แบบนี้ในวงการหนังไทยไม่ค่อยมีแล้ว รู้สึกว่าโชคดีมากครับ
บทบาทของ จ๊อด แตกต่างจากภาพยนตร์ที่เคยแสดงมาอย่างไรบ้าง
แตกต่างค่อนข้างมากอย่างเรื่องล่าสุดที่ได้รับเป็นหนังเรื่อง หลวงพี่เท่งภาค 3 เล่นกับดาราตลกก็สนุกดี หรืออย่างเรื่อง A Moment in June ก็จะเป็นแนวโรแมนติก ก่อนหน้านั้นก็ 13 เกมสยอง เป็นหนังแบบไซโค พอมาถึงเรื่องนี้จะเป็นหนังที่มีความเป็นแอ็คชั่นเยอะเลยทีเดียว ซึ่งก็ดีครับ ได้รับบทหลากหลายแบบนี้ ไม่รู้ว่าครบหรือยัง อาจจะยังเหลือบทตัวร้ายครับ สำหรับ อันธพาลก็แรงแต่แรงในอีกรูปแบบนึง จริงๆ อันธพาลแรงทีเดียวเลยนะ เพียงแต่ละซีนที่ถ่ายทำมีแทงกัน ยิงกัน ทุบตีกัน มันแรงในรูปแบบที่ผมว่าหลายคนยังไม่ค่อยเห็นในหนังไทยครับ แรงแบบเรียลลิสติก (Realistic)
คิดว่าเป็นการพลิกบทบาทครั้งสำคัญเลยไหม
ผมว่ามันก็สำคัญในแง่มุมที่ ผมว่านักแสดงผู้ชายคนไหนก็อยากจะเล่นบทนี้ครับ เขาเลือกเราโชคดีที่มันสำคัญตรงนี้ล่ะครับ จึงต้องทำหน้าที่ให้ดี
อธิบายคาแร็คเตอร์ของ “จ๊อด” ใน “อันธพาล”
จ๊อด จะเป็นคนที่ค่อนข้างนิ่งๆ ดูจากภายนอกจะเป็นคนค่อนข้างสุขุม คนมองแล้วอ่านไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จะเป็นคนใจดีหรือว่าน่ากลัวกันแน่ แต่ว่าลึกๆ ข้างในแล้วเขาเป็นคนที่รักแม่ รักน้องสาวอย่างมาก ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อครอบครัว เป็นคนที่รักความยุติธรรมเป็นลูกผู้ชาย จริงๆ แล้วเขาก็เป็นคนที่ไม่อยากอยู่ในวงการอันธพาล อยากหนีออกจากโลกอันธพาล แต่เผอิญเขาเก่งในเรื่องของอันธพาล การชกต่อย การต่อรอง กติกาของการเป็นอันธพาล เขาเข้าใจทุกอย่างว่ามันสมควรจะเป็นยังไง พอโลกมันเริ่มเปลี่ยนเขาก็เลยไม่อยากอยู่ในโลกอันธพาลนี้แล้ว
เรื่องย่อ อันธพาล
มันเป็นช่วงเวลาที่สังคมเราเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย ช่วงนึงที่โลกของอันธพาลเปลี่ยนแปลง สมัยก่อนอันธพาลจะเป็นเรื่องของลูกผู้ชาย การดวลกันต่อหน้าต่อหน้า ไม่ใช่ยิงหลังใคร การรักษาคำพูด ความยุติธรรม แดงกับจ๊อดเป็นเพื่อนรักกัน และยังเชื่อมั่นในการเป็นอันธพาล ที่ไม่รังแกคนไม่มีทางสู้ มีกฎ กติกา แต่ในยุคของอันธพาลรุ่นใหม่ของธงและเปี๊ยก คิดแตกต่างกัน คิดว่าอันธพาลขอให้ยิงแล้วชนะอย่างเดียว แล้วไม่ได้สนใจเรื่องจิตใจ และจ๊อดจะทำอย่างไร เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอันธพาลรุ่นน้อง กับตำรวจ กับสังคมใหม่ จะอยู่รอดได้อย่างไร สุดท้ายแล้วใครจะเลือกเส้นทางแบบไหน อันธพาลรุ่นใหม่จะเลือกเส้นทางไหน อันธพาลแบบเราจะรักษาโลกของเราที่มันควรเป็นยังไง เมื่อคิดต่างกันเราต้องมีการปะทะกันและบู๊ใส่กันแน่นอนครับ
มีการเตรียมตัวสำหรับฉากแอ็คชั่นเป็นพิเศษบ้างไหม
ก็มีซ้อมฉากแอ็คชั่น อย่างฉากดวลมีดกับ เฮียเซ้ง (รับบทโดย พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) ก็มีการซ้อมดวลมีดก่อน ในเรื่องการชกต่อยจะมีสตั๊นท์แมนสอนให้เราชกแบบนู้นแบบนี้ แล้วโขมผู้กำกับบอกว่าพี่น้อยชกในสไตล์พี่น้อยดีกว่า เราอยากมีสไตล์ของตัวเราเองไม่ต้องเหมือนคนนู้นคนนี้ เป็นสไตล์เราเองดีกว่า ซึ่งก็เป็นคำแนะนำที่ดีนะครับ แล้วในสุดท้ายพอถ่ายปรับทุกอย่างเราก็ลุยกันหมดเลย อย่างฉากแอ็คชั่นเราก็มีโคโนกราฟสอนนิดนึงแล้วก็ลุยกันเลย มันค่อนข้างเฟรช (Fresh) ทีเดียวครับ เวลาเล่นหนังเรื่องนี้
ผมไม่ได้คิดถึงขนาดวิธีชกเป็นยังไงนะ ผมมองในแง่มุมที่ด้านคาแร็คเตอร์มากกว่า คาแร็คเตอร์จ๊อดน่าจะมีรูปร่างเหมือนกับนักมวยไทย ดูเป็นคนตัวเล็กแต่พอถอดเสื้อแล้วมีกล้ามเป็นมัดๆแล้วอย่างพวกนักมวยไทยเขาจะดูแน่นมากเหมือนแทงไม่เข้า แข็งแรงแต่ตัวเล็กสู้คนรูปร่างใหญ่ได้ ก็เลยเริ่มมองคาแร็คเตอร์ว่าเป็นแบบนี้ผมก็ไปยกเวท วิดพื้น เล่นฟิตเนส แต่ไม่ได้เล่นหนักให้ดูตัวใหญ่ ผมเล่นเบาๆ เร็วๆ วิดพื้นเร็วๆ รูปร่างก็เริ่มจากตรงนี้ พอรู้ว่าจะเริ่มเล่นฉากแอ็คชั่นผมรู้ว่าทางกองเขาอยากให้ดูจริงให้ดูเฟรช และเรื่องนี้ไม่ใช่แอ็คชั่นอย่างเดียว มันมีความเป็นดราม่า ผมไม่ได้เหมือนนักแสดงคนอื่นๆ ที่ถนัดภาษาไทย แล้วก็มาปุ๊ปปั๊บแสดง ผมต้องท่องเยอะๆ จนมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายผม เพื่อผมจะได้รีแล็กซ์ได้เวลาที่แสดง ผมก็ท่องมาอย่างเต็มที่ พอเข้าใจเนื้อหาทุกอย่างผมก็เริ่มพูดออกมา มันเริ่มออกมาจากวิญญาณของเราอย่างเป็นจริงเป็นจัง
ต้องมีการปรับลุค เพื่อเข้ากับคาแร็คเตอร์ “จ๊อด” อย่างไรบ้าง
โขมผู้กำกับอยากให้เราดูเข้มขึ้นหน่อย ดูน่ากลัวขึ้น ชีวิตจริงผมอาจจะไม่ได้ดูน่ากลัวถึงขนาดนั้น ก็เลยให้ใส่คอนแท็คเลนส์สีดำ ให้ทาหนวด และคิ้วให้เข้มขึ้น ปกติผมจะสั้นแต่เขาก็ให้ไว้ยาวมาหน่อยเพื่อจะได้ใส่แวกซ์ ด้านชุดเสื้อผ้าก็ต้องขรึมมืดๆ หน่อย ปรับเข้ากับยุคนั้นและเป็นช่วงแรกเลยที่คนไทยเราเริ่มแต่งตัวเหมือนฝรั่ง เอลวิส เพรสลีย์ และเจมส์ ดีน ใส่แวกซ์ทำผม สมัยนู้นไม่มีใครรูปร่างอ้วนหุ่นจะฟิต เท่กันหมด ใส่แว่นดำเป็นยุคแรกที่แฟชั่นเราเริ่มเปลี่ยนแปลงเหมือนเมืองนอก เวลาเห็นฉากแต่ละฉาก Extra (นักแสดงสมทบ) แต่ละคนมันมันส์จริงๆ ครับ แต่ละคนที่เขาเลือกมาแคสติ้งมาหน้าตาเข้ากับยุคนู้น ผมว่าหนังเรื่องนี้เขาทำได้ดีมาก เขาทำได้เป็นยุคนั้นแบบ100% จริงๆ เลยครับ
ฉากที่คิดว่ายาก
ฉากที่ยากจะมีอยู่ 2 แบบ อย่างแรกเป็นฉากแอ็คชั่นซึ่งมันเหนื่อยจริงๆ บางทีเราเห็นหนังแอ็คชั่นทั่วไปเราจะคิดว่าสนุกจะตายไม่เห็นมีไรเลย แต่เวลาต้องเทค1 2 3 4 แล้วแอ็คชั่นยาวๆ เพราะเราไม่ได้เป็นนักแสดงแอ็คชั่นโดยธรรมชาติ เราจะออกแรงเยอะมากเวลาเราแสดงเราจะหายใจไม่เป็น แอ็คชั่นบางฉาก 2-3 เทคผมก็เริ่มหอบไม่ไหวแล้ว ส่วนมากเขาอยากได้เทคยาวๆ เพราะมันจะดูจริงจังขึ้นไม่อยากคัทเยอะ ต้องจำทุกอย่าง วิ่งขึ้นนู่น ชกคนนี้ ลุยคนนู้น มันเหนื่อยจริงๆ มันหอบเยอะมาก ผมก็นึกว่าผมฟิตนะครับแต่ว่าโหยยย...ผม Respect (เคารพนับถือ) นักแสดงมืออาชีพจริงๆ พวกสตั๊นท์แมนผม Respect เขาอย่างมาก ฉากพวกนี้ยากมากแต่มันส์นะครับ สนุกครับ สนุกมากเพราะพวกนักแสดงสตั๊นท์ใจเขาถึง เขาบอกว่าพี่น้อยไม่ต้องห่วงต่อยผมลุยผมเลยเต็มที่เลย ใจเขาถึงเราก็ต้องถึงด้วย เราจะเริ่มรู้เพราะเราไม่ชินกับการชกต่อย เวลาชกเราก็จะกลั้นหายใจ แต่จริงๆ แล้วผมว่าคนที่ชิน คนที่เล่นมวยเขาจะรู้ว่าต้องหายใจเมื่อไหร่ ถอนหายใจ จะรู้จังหวะเราก็เริ่มเรียนรู้ตรงนี้ด้วย เหมือนเวลาเราร้องเพลง เวลาผมร้อง 1-10 เนี่ย ผมจะร้องเพลงเร็ว1 2 3 4 5 ไม่ได้ ผมต้องมีเพลงช้าเพลงนึงให้ผมหายใจสบายๆแล้วค่อยมาร้องเพลงมันส์ๆ แล้วผมก็เต้นเยอะด้วย ผมก็เริ่มมองการชกต่อยเหมือนเวลาที่ผมเต้น ซึ่งทุกคนก็ทราบว่าผมคล่องเรื่องการเคลื่อนไหว พยามคิดว่าฉากแอ็คชั่นมันไม่ได้ต่างจากเวลาเราเต้น ซึ่งทุกอย่างมันต้องโฟล มันต้องสมูท มันต้องดูเป็นธรรมชาติ
ถ้าเกิดไม่ใช่ฉากแอ็คชั่น สำหรับผมฉากยากที่สุดคือฉากพูดคุยกัน ฉากตะโกนร้องไห้ไม่ได้ยากขนาดนั้นเพราะมันคือการปลดปล่อยเต็มร้อยมันเป็นการที่เราต้องเห็นแก่ตัวแล้ว ฉันจะร้องไห้ก็ร้อง ฉันจะตะโกนก็ตะโกนแล้ว แต่ฉากพูดคุยเราต้องแสดงพูดคุยกับนักแสดงอีกคนเราต้องฟังเขาแล้วมันต้องเป็นจริง การส่งอารมณ์ซึ่งมันเป็นฉากที่ยากมากครับ
ฉากที่ประทับใจเป็นพิเศษ
ผมว่าเป็นฉากในโรงหนัง ในหนังเรื่องนี้แดงกับจ๊อดเป็นเพื่อนรักกัน ได้คุยกันได้สื่อความเป็นเพื่อนที่แท้จริงกัน คือแดงจะไปบวชจะขอวางมือ แล้วจ๊อดก็บอกว่าแดงไปบวชเถอะ แล้ว จ๊อดจะดูแลทุกอย่างให้ ไอ้นักเลงคนนี้ ปุ๊ ที่รังแกแฟนของแดงเดี๋ยวจ๊อดจัดการให้ โชว์ความเป็นเพื่อนรัก เวลาแสดงเราต้องถ่ายทอดให้ถึง นั่นก็ยากมากแต่รู้สึกว่าเราทำได้สำเร็จ (ยิ้ม)
และก็ประทับใจฉากแอ็คชั่นตะลุมบอลกัน 10-15 คน ผมคิดว่านักแสดงชายทุกคนก็ใฝ่ฝันอยากเล่นฉากแอ็คชั่น ยิงปืน ถือมีด คาวบอย แล้วก็ผมยังไม่เคยได้เล่นฉากนี้มาก่อน วันนั้นก็หลายคนเยอะ แล้วก็วิ่ง ชก ต่อย เอามีดอีโต้มาขว้าง แล้วผมก็อยากเล่นแบบจริงๆ จังๆ ไม่ใช่แบบหนึ่ง สอง สาม เวลาถ่ายเสร็จมาดูในจอมอนิเตอร์ เฮ้ย!เป็นแบบนี้หรอเนี่ยเราโคตรเท่จังเลย ดู Cool จังเลย ไม่รู้คนอื่นจะคิดแบบนั้นเปล่านะ (หัวเราะ) แต่เราไม่เคยเห็นตัวเราแบบนี้มาก่อน ก็เลยประทับใจครับ ฉากนี้ถ่ายประมาณ 4-5 เทค แต่มันถ่ายยาวมากเลย วิ่งข้ามสะพานลงมาก็ต้องสู้ คนนี้มาผมก็ต้องขว้างชามก๋วยเตี๋ยว วิ่งต่อยหลบ ผมว่ามันเฟรชดีครับ น่าจะต่างจากหนังแอ็คชั่นอื่น
ได้มีโอกาสรวมงานกับนักแสดงคุณภาพ “เต๋า สมชาย” เป็นครั้งแรก รู้สึกอย่างไรบ้าง
เป็นเสน่ห์ของการทำหนัง มันเหมือนกับเต๋า เขาเข้ามาในวงการบันเทิงก่อนผม กว่าผมจะเข้าก็ 30 กว่าแล้ว เต๋าเขาเข้ามาตั้งแต่อายุ 15-16 ปี เห็นเต๋าผ่านทีวีมานานแล้วไม่เคยคิดว่าจะได้มีโอกาสร่วมงานกัน เพราะเรา 2 คนมาจากคนละมุมโลก แล้วก็ในหนังเรื่องนี้เรารับบทที่เป็นเพื่อนรักกัน มันก็ท้าทายตรงนี้ ยิ่งเวลาแสดงร่วมกับเต๋า หรือนักแสดงหลายคน หรือพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ เราเข้าใจเลยว่านักแสดงมืออาชีพเป็นอย่างไร เพราะเขาเป็น Professional (มืออาชีพ) จริงๆ เขาจะรู้ว่าต้องเล่นกับกล้องยังไง น้ำหนักเสียงเป็นยังไง แล้วเขาก็จะรีแลกซ์ ผมรู้สึกว่าเป็นเกียรติที่ได้แสดงกับนักแสดงมืออาชีพหลายๆ คนในเรื่องนี้ อีกอย่างนึงผมว่าคาแร็คเตอร์ แดง เหมาะกับเต๋ามากด้วยนะฮะ เล่นได้ดีด้วย แล้วเขาก็เป็นลูกผู้ชายดีครับ
มีการแนะนำทางการแสดงกันบ้างไหม
แนะนำสอนเทคนิคไม่ได้มีนะ (หัวเราะ) ตัวใครตัวมัน มันเป็นเสน่ห์ของการแสดงเพราะแต่ละคนก็มีเทคนิคกัน แต่เวลามาแชร์ซีนกันก็ขึ้นอยู่กับคาแร็คเตอร์คนเราไม่เหมือนกัน นั่นเป็นอีกเสน่ห์นึง นั่นคือเทคนิคของตัวแสดง อย่างพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ สำหรับผมแล้วเขาเป็น Top 5 Best Actor ของประเทศไทย อย่างเต๋า หรือรุ่นน้องๆ อย่างบิ๊ก, คริน, แฟรงค์ เดอะสตาร์ มีนักแสดงหลากหลายมาก แต่ละคนมีเทคนิคของตัวเองเวลามาผสมผสานด้วยกันแล้วมัน Special จริงๆ ครับ
เล่าถึงการได้ร่วมงานกับนักแสดงรุ่นน้อง “คริน-สาครินทร์ และ บิ๊ก-กฤษฎา” ที่ต้องปะทะกันในเรื่องนี้ เป็นอย่างไรบ้าง
บิ๊กกับคริน ผมเองก็เพิ่งทราบว่า ครินเขาเป็นแฟนเพลงของน้อย วงพรู (หัวเราะ) ครินเขาเองก็เป็นนักร้องนำของวง Art Floor แล้วในหนังเขาก็ต้องเป็นคนที่ชื่นชม จ๊อด ด้วย (หัวเราะ) อย่างแรกผมว่าแคสติ้งเขาทำได้ดีมาก เวลาเห็นน้องแต่ละคน แล้วผมว่าบิ๊ก เหมาะกับบท เปี๊ยกมากทีเดียว แม้แต่ลุคที่มีความอินโนเซ็นท์ ตัวจริงเขาก็ดูเป็นคนซื่อ ดูเป็นคนบริสุทธิ์มากมันก็สะท้อนในความเป็นตัวเขา ส่วนครินเขามีความเป็นบริสุทธิ์นะแต่ตัวจริงเขายังมีความลึก ความมืดข้างในนิดหน่อย อาจจะการที่เขาเป็นนักร้องเวลาที่เขาสื่อสารเพลงที่ค่อนข้าง Dark เขามีความ Dark ผมไม่ได้หมายความว่าเป็นสิ่งไม่ดีนะครับ แต่มันหมายถึงในตัวเขา ซึ่งเขาสามารถเอาตรงนี้มาใส่ในคาแร็คเตอร์ในหนังได้ 2 คนนี้ผมว่าเหมาะมาก และเป็นบทที่ดีมากด้วย เริ่มต้นด้วยความเป็นเพื่อนรัก และสุดท้ายแล้วคนนึงไปทาง ส่วนอีกคนไปอีกทาง จนสุดท้ายเด็ก 2 คนนี้ต้องมาเผชิญหน้ากันและเลือกทางเดินจะไปทางไหน ผมว่ามันลึกดี
การร่วมงานกับ “โขม-ก้องเกียรติ โขมศิริ” ผู้กำกับฝีมือคุณภาพ เป็นอย่างไรบ้าง
ผมเคยดูหนังของโขม ประสบความสำเร็จมากอย่างเรื่อง ไชยา แล้วก็แสดงได้ดี หนังของโขมเป็นหนังที่ดีแล้วทุกคนอยากเล่น มันเข้มข้นมันมีมิติ เป็นคนเขียนบทที่ดีมาก ก็เลยชื่นชมเขามาก่อน เวลาเขามากำกับเรา ดีเทลเขาคิดจะเยอะทุกอย่างเขาจะรู้ในจินตนาการ ตอนที่เขาเขียนบทเขาจะรู้ว่าต้องเป็นยังไง สิ่งเล็กน้อยอย่างสมัยก่อนคนไม่ทำอย่างนู้นอย่างนี้ อย่างชักปืนก็ต้องปุ๊ปๆ แล้วก็ปล่อยอะไรแบบนี้ หรือแม้แต่บางฉากผมต้องกินข้าวต้องถือช้อนแบบนี้ โขมเขาจะบอกพี่น้อยต้องจับแบบนี้นะ กินแบบนี้นะ ยิ่งเวลาพูดด้วยต้องเจมส์ ดีน เอลวิส ต้องพูดให้เข้ากับคนสมัยนู้น หรือคาแร็คเตอร์ของผมเนี่ยอยากให้ถือซิปโป้ (Zippo) ไฟแช็ค ต้องถือให้คล่องให้มันเป็นส่วนนึงของคาแร็คเตอร์พี่เลยนะ เขาก็ให้โจทย์ผมไปเล่นกับซิปโป้ ผมก็ไม่ได้เป็นคนที่สูบบุหรี่ แต่ผมก็ต้องไปฝึกยกไปยกมา เขาจะคิดถึงเรื่องดีเทลอย่างลึก เขาจะทราบว่าแสดงกับเพื่อนอันธพาลแต่ละคนอยากให้มันดูจริงจัง ไม่ใช่แค่เวลาชกต่อย เวลาพูดคุยกันก็อยากให้สื่อสาร ความรัก เพื่อน ความซื่อสัตย์ อันธพาลแต่ละคน เขาจะดูตรงนี้ ดูทุกอย่างละเอียดจริงๆ เป็นผู้กำกับที่ทำงานละเอียดมากครับ
ส่วนตัวแล้วชื่นชอบภาพยนตร์แนวไหนเป็นพิเศษ
ชอบดูหนังดราม่า พวกหนังลึกๆ ที่สอนอะไรบางอย่างพวกเราได้
ส่วนตัวแล้วมีไอดอล ที่เป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตบ้างไหม
ในชีวิตจริงผมไม่ได้มีไอดอลในชีวิตมากมาย จะเป็นคำพูดของคนมากกว่า หรือคำพูดนั้นอาจจะไม่มาจากคนจริงก็ได้ อาจจะมาจากคาแร็คเตอร์ในหนังก็ได้ เขียนบทมาแล้วก็พูดคำที่แบบมันเป็นสาเหตุที่เราอยากไปดูหนัง คาแร็คเตอร์คนนั้นพูดสิ่งที่เราประทับใจครับ นั่นคือพาวเวอร์ของหนัง
หากต้องกลายเป็น “อันธพาล” จะเลือกเป็นอันธพาลแบบไหน
อย่างจ๊อด (หัวเราะ) ผมว่าเป็นอันธพาลแบบจ๊อดก็ดี เป็นลูกผู้ชายดี อันธพาลมีหลายรูปแบบนะ เราอาจจะเป็นอันธพาลที่ต่อสู้ล้างคนเลว แต่ถ้าผมเป็นอันธพาลจริง อาจจะเป็นอันธพาลที่ทำมาหากินโดยที่เข้าใจว่าสังคมเราเป็นยังไง
คำว่า “อันธพาล” ในความหมายส่วนตัวแล้วคือออะไร
ตอนแรกที่พูดว่า อันธพาล ผมนึกถึงเด็กไม่ดี แต่พอผมคุยกับโขมเขาสื่อสารออกมาว่า อันธพาลจริงๆ แล้วเป็นลูกผู้ชายนะ โลกของอันธพาลที่แท้จริงมันกำลังจะหายไปแล้ว พวกแก๊งเนี่ยมันไม่ได้เป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง มันเริ่มยิงข้างหลังกันไม่แฟร์แล้ว พอคุยแล้วก็ทำให้เข้าใจคำว่า อันธพาล มันอาจจะเป็นคำที่เราอาจจะเคารพนับถือก็ได้ เพราะมันเกี่ยวกับความไม่ยุติธรรม การเป็นอันธพาลเป็นคนที่แฟร์ ไม่ไปรังแกคนที่ไม่แข็งแรงไม่เก่งเท่าเรา เราทำอะไรทุกอย่างต้องแฟร์สม่ำเสมอกันหมดครับ
เสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่อง “อันธพาล”
หนังไทยเราไม่ค่อยได้มีหนังแบบนี้เท่าไหร่แล้ว เราเข้าใจหนังไทยเป็นวงการธุรกิจมันต้องมีหนังตลก หนังผี หนังโรแมนติก แต่นานๆ ทีจะมีหนังแอ็คชั่นดราม่าอย่างไทย สำหรับในเรื่องการแสดงมันเป็นโอกาสที่นักแสดงหลายๆ คนจากหลายรุ่นมารวมตัวกัน มาถ่ายทอดอารมณ์ของมัน น่าสนใจมาก เป็น every actor stream ที่จะเล่นหนังแบบนี้
ฝากผลงาน
หนังเรื่อง อันธพาล เป็นหนังดราม่าแอ็คชั่น อยากฝากให้ทุกคนไปชมหนังไทย เราไม่ได้มีหนังสไตล์แบบนี้ มีความเป็นแอ็คชั่นดราม่า มีคาแร็คเตอร์ที่เป็นจริงหลายคน มันมีแมสเสทที่ดี หนังอาจจะมีชื่อว่า อันธพาล แต่การเป็นอันธพาล มันคือการโชว์ความเป็นลูกผู้ชายของเรา การใช้ชีวิตที่ถูกต้องโดยไม่ไปทำร้ายใคร แต่คนไหนไม่ดีเราอาจจะทำร้ายเขาก็ได้