กรุงเทพฯ--5 เม.ย.--อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น
นายเทพ วงษ์วานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) หรือ ทีพีซี เปิดเผยว่า ในปี 2547 บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ เพราะสามารถทำยอดขายรวมได้ถึง 23,451 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึงร้อยละ 29
ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นเป็นผลมาจากราคาขายพีวีซีที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของราคาขายพีวีซีเกิดจากราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้นและปริมาณการผลิตที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ รวมทั้งยังมีผลมาจากความต้องการใช้พีวีซีในตลาดโลกซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เนื่องจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากเศรษฐกิจโลก
ขณะเดียวกัน การขยายกำลังผลิตและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นในผลิตภัณฑ์พีวีซีและผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องของกลุ่ม เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ได้แก่ สินค้าท่อพีวีซี และสินค้าสำเร็จรูปที่เป็นวัสดุก่อสร้างที่ทำจากพีวีซี เช่น ประตู หน้าต่าง ซึ่งสูงขึ้นตามการขยายตัวของการก่อสร้างภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ การก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิและโครงการสร้างระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ของภาครัฐ
ส่วนตลาดต่างประเทศที่บริษัทฯ ส่งออกก็ยังคงมีความต้องการพีวีซีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ของโลก จึงทำให้บริษัทฯ สามารถผลิตและขายได้เต็มกำลังผลิตตลอดปี 2547
ปี 2547 นับเป็นปีที่สามติดต่อกัน ซึ่งบริษัทฯ สามารถสร้างผลกำไรที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น การบริหารด้านต้นทุนวัตถุดิบและการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ได้ผล ทำให้มีกำไรสุทธิสูงถึง 3,152 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึงร้อยละ 141 (กำไรสุทธิปี 2546 เท่ากับ 1,306 ล้านบาท)
จากผลกำไรที่สูง คณะกรรมการบริษัทฯ จึงได้พิจารณาจัดสรรเงินกำไรและจ่ายเงินปันผล ประจำปี 2547 ในอัตราหุ้นละ 2 บาท โดยได้รับอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 29 มีนาคม 2548 โดยเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2547 บริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท (เมื่อเทียบกับราคาที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท) ส่วนเงินปันผลอีก 1.70 บาท จะจ่ายในวันที่ 22 เมษายน 2548 คิดเป็น Dividend Yield ร้อยละ 10 (เทียบที่ราคาหุ้นในตลาด 20.00 บาทต่อหุ้น) และ Dividend Payout Ratio จะเท่ากับร้อยละ 56
นายเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการสร้างผลกำไรที่สูงแล้ว ในปี 2547 บริษัทฯ ยังมีผลงานที่สำคัญ เช่น การปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ผลิตได้อย่างต่อเนื่องและเต็มกำลังการผลิต เป็นผลให้ผลผลิตโดยรวมของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2546 ร้อยละ 10 นอกจากนี้ ยังได้ลงทุนในอุตสาหกรรมต่อเนื่องเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไรและสร้างความเติบโตให้กับธุรกิจ รวมไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้เหมาะกับการใช้งานและทดแทนวัสดุธรรมชาติ และลงทุนในเครื่องมืออุปกรณ์ในการผลิตและทดสอบที่ทันสมัย ทางด้านการเงิน บริษัทฯ ได้ลดจำนวนยอดเงินกู้และภาระดอกเบี้ยจ่าย และยังลดความเสี่ยงและต้นทุนทางการเงินจากการใช้เครื่องมือทางการเงินอื่นๆ
สำหรับแผนงานในปี 2548 นายเทพ กล่าวว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะรักษาความเป็นผู้นำตลาดในประเทศและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้สามารถผลิตได้อย่างต่อเนื่องและเต็มกำลังการผลิต รวมทั้งจัดหาวัตถุดิบให้มีความสม่ำเสมอและต่อเนื่อง--จบ--