วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ภูมิใจเสนอภาพยนตร์ เรื่อง I, ROBOT

ข่าวเทคโนโลยี Wednesday June 23, 2004 13:54 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--23 มิ.ย.--วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส
วิล สมิธ รับบทเป็น นักสืบ เดล สปูนเนอร์ ในภาพยนตร์ระทึกขวัญไฮเทค เรื่อง I, ROBOT เนื้อเรื่องจากหนังสือเรื่องสั้นของไอแซค อาซิมอฟ นักเขียนที่เปี่ยมจินตนาการ ในปี 2035 เทคโนโลยีและหุ่นยนต์ได้รับความไว้วางใจให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ความไว้ใจนั้นได้ถูกทำลายลง และมีชายหนุ่มเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ต่อต้านระบบโดยลำพัง และมองเห็นว่าอะไรจะเกิดขึ้น
I, ROBOT ใช้นวัตกรรมวิชวลเอ็คเฟ็คล้ำสมัยที่สุดที่ไม่เคยมีมาก่อนบนจอภาพยนตร์ เพื่อสร้างชีวิตให้กับโลกของหุ่นยนต์ ซันนี่ ตัวละครเอก ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่กำความลับแห่งการฆาตกรรมเอาไว้ - และบางทีอาจเป็นความอยู่รอดของมนุษยชาติอีกด้วย - เป็นตัวแทนของการเข้าสู่ยุคของภาพถ่ายเสมือนจริง อันที่จริงแล้ว ซันนี่เป็นตัวละคร CGI สามมิติที่ดูเหมือนจริงที่สุด และมีครบถ้วนทางด้านอารมณ์ เท่าที่เคยได้ทำกันมาในภาพยนตร์
I, ROBOT กำกับการแสดงโดย อเล็กซ์ โพรยาส ("Dark City," "The Crow") ซึ่งสร้างชิคาโก้ในอนาคตในแบบที่ไม่ธรรมดา - ในราวปี 2035 - ซึ่งเป็นเวลาที่หุ่นยนต์ได้รับการยกระดับอย่างสมบูรณ์แบบในสังคม บริดเจ็ต โมยนาแฮน รับบทคู่กับวิล สมิธ เป็น ดร. ซูซาน คาลวิน จิตแพทย์ของหุ่นยนต์ บรูซ กรีนวู้ด รับบท ลอว์เรนส์ โรเบิร์ตสัน หัวหน้าบริษัท U.S. Robotics และ ชิ แมคไบรด์ รับบทนายของสปูนเนอร์ และเพื่อนของผู้กองจอห์น เบอร์กิน และอลัน ทูดิค นักแสดงที่ใช้ความสามารถทางกายภาพ เพื่อเป็นพื้นฐานของการสร้างหุ่นยนต์ซันนี่ด้วยดิจิตอล เจมส์ ครอมเวลล์ รับบทเป็นตัวละครเอก ดร. อัลเฟร็ด แลนนิ่ง นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะผู้รักสันโดษ
I, ROBOT ภาพยนตร์ของ David Entertainment Company / Laurence Mark / Overbrook Films Production อำนวยการสร้างโดย ลอว์เรนส์ มาร์ค, จอห์น เดวิส, โทเฟอร์ ดาว และวิค กอดฟรีย์ วิล สมิธ, เจมส์ แลสสิเตอร์, ไมเคิล เชน และแอนโทนี โรมาโน เป็นผู้อำนวยการบริหาร สตีเวน อาร์ แมคกลอทเธน เป็นผู้ร่วมอำนวยการสร้าง
ทีมงานหลังกล้อง ได้แก่ ไซมอน ดักแกน ผู้กำกับภาพ ("Garage Days," "The Interview"), แพทริค ทาโทเปาลอส ผู้ออกแบบฝ่ายศิลป์ ("Dark City," "Independence Day"), ริชาร์ด ลีรอยด์ ผู้ลำดับภาพ ("Garage Days," "Dark City"), อาร์เมน มิเนซียน ("Daredevil") และวิลเลียม ฮอย, A.C.E. ("We Were Soldiers"), แมคโคร เบลตรามี ผู้ประพันธ์เพลงประกอบ ("Terminator 3: Rise of the Machines") และอลิซาเบธ เคียค ปาล์เมอร์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ("Dark City")
ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็คเจ้าของรางวัลตุ๊กตาทอง จอห์น เนลสัน ("Gladiator") เป็นผู้ดูแลช็อตวิชวลเอ็ฟเฟ็คกว่า 1,000 ช็อตของหนังเรื่องนี้ ในภาพของซันนี่และหุ่นตัวอื่นๆ ซึ่งได้รับการออกแบบโดยแพทริค ทาโทเปาลอส นอกจากนั้น ทีมงานวิชวลเอ็ฟเฟ็คยังได้ปรับปรุงและสร้างโลกที่เป็นชิคาโก้ในปี 2035
ตัวละครหลักหลายตัวมาจากหนังสือเรื่องสั้นของ ไอแซค อาซิมอฟ ที่ชื่อว่า I, Robot (รวมทั้ง ดร. อัลเฟร็ด แลนนิ่ง และ ดร. ซูซาน คาลวิน ที่อ่อนวัยกว่า) รวมทั้งความคิดและคอนเซปท์ที่หลากหลายของนักเขียนชื่อดัง ยังได้รวมอยู่ในภาพยนตร์ด้วย
ลองนึกภาพของโลกที่มอเตอร์ไซค์ขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเอง หุ่นยนต์กำกับวงซิมโฟนีออเคสตร้า และระบบการคิดของสัตว์สามารถทำให้หุ่นเคลื่อนไหวได้ เปล่าเลย นี่ไม่ใช่การแสดงให้เห็นถึงโลกอนาคตแสนไกล… แต่มันเป็นข่าวพาดหัวของหนังสือพิมพ์ในวันนี้ เรื่องราวเกิดขึ้นในอีกราว 30 ปีข้างหน้า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของ "ผู้ช่วยสมองกลประจำบ้าน" ใน I, ROBOT สถาปัตยกรรม เครื่องแต่งกาย และพาหนะนั้นดูน่าอัศจรรย์ในยิ่ง แต่ในขณะเดียวกันผู้ชมยังสามารถสัมผัสได้โดยง่าย
ในความก้าวหน้าเหล่านี้ แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าในอนากคตอันใกล้ หุ่นยนต์จะได้รับความไว้วางใจให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเรา ทุกๆ ครอบครัวจะมีหุ่นยนต์หนึ่งตัวหรือมากกว่านั้น พวกมันจะทำความสะอาดบ้าน ส่งของ พาสัตว์เลี้ยงไปเดินเล่น - แม้แต่ดูแลลูกๆ ของเรา แต่ถ้าหากว่าความไว้ใจถูกสั่นคลอนเล่า? คำถามนี้เป็นหัวใจของเรื่อง I, ROBOT
เรื่องราวเกิดขึ้นในวิกฤติการณ์ของเทคโนโลยีและสังคม ในขณะที่จำนวนหุ่นยนต์ในสหรัฐฯ มีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าสามเท่าตัว ในการเปิดตัวของหุ่นยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของ U.S. Robotics - NS-5 Automated Domestic Assistant - โดยกำหนดให้มีหุ่นยนต์หนึ่งตัวต่อมนุษย์ห้าคน เป็นหุ่นยนต์ตัวแรกของรุ่นถัดไปที่ทำด้วยอัลลอยด์ที่แกร่งเป็นพิเศษ หุ่น NS-5 ได้รับการออกแบบให้ทำงานสารพัดอย่าง ตั้งแต่เป็นพี่เลี้ยงเด็กๆ ทำอาหารเย็นให้ทั้งครอบครัว จนกระทั่งสรุปรายการบัญชีรายรับ-จ่าย ผลจากการจำหน่ายหุ่นรุ่น NS-5 จะยกฐานะของบริษัท U.S. Robotics ให้เป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งดาวโลก
ตำนานเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ที่ดำเนินไปในเรื่อง I, ROBOT เกิดขึ้นเมื่อสิบปีที่แล้ว เมื่อผู้เขียนบทภาพยนตร์ เจฟ วินทาร์ ได้เขียนสคริปท์เรื่อง "Hardwired" เรื่องราวลึกลับเกี่ยวกับการฆาตกรรมที่อาจเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของหุ่นยนต์ ผู้อำนวยการสร้างลอว์เรนส์ มาร์ค ทำหน้าที่ดูแลโครงการภาพยนตร์ และทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ ได้ซื้อสิทธิ์เรื่อง "Hardwired" เพื่อนำมาสร้างโดยมีอเล็กซ์ โพรยาส เป็นผู้กำกับฯ การแสดง ตอนต้นปี 2000 วินทาร์บินไปยังออสเตรเลีย เพื่อเริ่มการทำงานหนังกับโพรยาส เป็นการร่วมกันทำงานที่ต่อเนื่องไปอีกกว่าสองปี "เราเริ่มดำเนินงานกับสคริปท์ร่วมกับอเล็กซ์ โพรยาส และเป้าหมายของเราคือเปิดกว้างมันอีกเล็กน้อย" ลอว์เรนส์ มาร์ค กล่าวทบทวน "มันเริ่มต้นเป็นเรื่องฆาตกรรมลึกลับในอนาคตที่ตรงไปตรงมา และเราได้พยายามอย่างต่อเนื่องที่จะขยายผ้าใบให้กว้างออกไปอีก และมันยังเป็นเรื่องฉลาดที่ภาพยนตร์จะใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จากความเชี่ยวชาญของอเล็กซ์ในด้านวิสัยทัศน์"
ในช่วงเวลานั้น ลิขสิทธิ์ของหนังเรื่อง I, Robot เป็นของ Davis Entertainment และโพรยาสได้ปรับหรุงมุมมองของหนังให้มีปัจจัยเพิ่มเติมจากงานไอแซค อาซิมอฟ ไอเดียและตัวละครของอาซิมอฟเข้ากันได้อย่างลงตัวในเรื่องราวของวินทาร์ "เราผนวกเรื่อง 'Hardwired' และ I, Robot เข้าด้วยกันเพราะฟ็อกซ์อยากทำหนังเรื่อง ใหญ่ เกี่ยวกับหุ่นยนต์มาตลอด และมันเป็นความฝันของอเล็กซ์ที่อยากทำหนังจากเรื่องสั้นของอาซิมอฟ" จอห์น เดวิส ผู้อำนวยการสร้างกล่าว "มันเป็นการผนวกที่เกิดขึ้นได้อย่างมีกฎเกณฑ์ เพราะแกนของเรื่อง 'Hardwired' และ I, Robot มักมีความคล้ายคลึงกัน" ลอว์เรนส์ มาร์คกล่าวเสริม
โลกในปี 2035 เชื่อว่าหุ่นยนต์จะปฏิบัติตาม "กฎความปลอดภัย 3 ข้อ" หุ่นยนต์ไม่สามารถทำร้ายมนุษย์ หรือไม่ยอมให้มนุษย์ตกอยู่ในอันตราย ; หุ่นยนตต์ต้องเชื่อฟังคำสั่งของมนุษย์ นอกเสียจากว่าคำสั่งนั้นขัดแย้งกับกฎข้อที่หนึ่ง; หุ่นยนต์ปกป้องตนเองได้ โดยไม่ขัดแย้งกับกฎข้อที่หนึ่งหรือสอง ในตอนแรกอาซิมอฟได้ตั้งกฎของหุ่นยนต์สามข้อขึ้นมาจากการเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ของเขา แต่ความคิดก็ได้สืบเนื่องไปในโลกแห่งความจริง และยังเป็นการปกครองกับหุ่นยนต์จริง และผู้ค้นคว้าที่โจมตีหุ่นสมองกลด้วย
"อาซิมอฟกลายเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางที่สุดในวงการวิทยาศาตร์" เจฟ วินทาร์ ผู้ร่วมเขียนบทกล่าว "เขาเป็นหนึ่งในบรรดาผู้บุกเบิกนิยายวิทยาศาสตร์ และเป็นคนแรกๆ ที่เขียนเกี่ยวกับหุ่นยนต์ ก่อนหน้าอาซิมอฟ หุ่นยนต์ถูกเขียนให้เป็นปีศาจร้าย เขาเป็นคนแรกที่ไม่ทำให้พวกมันเป็นแฟรงเกนสไตน์โลหะ แต่เป็นเครื่องจักรกลที่ทำงานตามกฎ และเขาได้รับการชื่นชมในการเขียนเรื่องราวสมจริงเกี่ยวกับหุ่นยนต์"
ความชื่นชมที่อเล็กซ์ โพรยาส มีต่อเรื่องของอาซิมอฟ นั้นนับย้อนหลังไปถึงวัยเด็กของผู้สร้างฯ "ตอนที่ผมอายุราวสิบขวบ ผมอ่านหนังสือนิยายวิทยาศาตร์เยอะมาก และอาซิมอฟเป็นหนึ่งในบรรดานักเขียนที่ผมชื่นชอบมาก ผมเป็นแฟนตัวจริงของนิยายวิทยาศาสตร์และ I, Robot เป็นหนึ่งในหนังสือไม่กี่เล่มที่ผมนึกถึงว่าเป็นเรื่องเยี่ยมที่จะทำเป็นหนัง ตอนที่เรายังเด็ก เราฝันเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ และผมอยากทำหนังมาตั้งแต่อายุน้อย ผมเลยฝันว่าจะทำมันเป็นหนังสักวัน
"ผมคิดว่าไอเดียของอาซิมอฟ เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องโดยตรงและสมัยใหม่" โพรยาสกล่าวต่อ "น่าทึ่งมากที่ใครสักคนในยุคปลาย 1940 และต้นปี '50 จะสามารถบอกได้ถึงสิ่งที่เป็นอนาคตอย่างแม่นยำ และการคาดคะเนเกี่ยวกับความคิดที่เริ่มมีผลต่อชีวิตประจำวันของเรา เรากำลังใกล้เข้าไปทุกทีกับอนาคตที่เขาเขียนถึง มันจึงเป็นเวลาที่เหมาะที่สุดที่จะเล่าเรื่องนี้"
ในขณะที่โพรยาสเตรียมงานสำหรับเรื่อง I, ROBOT เขาและทีมผู้อำนวยการสร้างก็เบนความสนใจไปที่นักแสดง มันเป็นเรื่องที่ซ้ำซากในฮอลลีวู้ดเมื่อผู้สร้างพูดว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการแสดงเป็นตัวนำ แต่กับ I, ROBOT, ทีมผู้สร้างย้ำว่าพวกเขาคิดอย่างนั้น "วิล สมิธ เป็นบุคคลหมายเลขหนึ่งในบัญชีรายชื่อของเรา และการได้ตัวเขามาก็เหมือนถูกล็อตเตอรี่" จอห์น เดวิสบอก "เพราะเรื่องของมนุษย์ทำให้เราสนใจมากพอๆ กับเรื่องของหุ่นยนต์ ขอบคุณสวรรค์ที่มีวิล สมิธ" ลอว์เรนส์ มาร์คกล่าวเสริม
"สิ่งที่ดึงดูดผมในหนังเรื่องนี้คือคอนเซปท์ที่ว่าหุ่นยนต์ไม่ใช่ปัญหา" สมิธพูด "เทคโนโลยีไม่ใช่ปัญหา มันคือขีดจำกัดของตรรกของมนุษย์ที่เป็นปัญหา และสำคัญที่สุดพวกเรากันเองเป็นศัตรูที่เลวร้ายที่สุด
"I, ROBOT เป็นการผสมผสานที่น่าสนใจของหลายอย่าง" สมิธกล่าวต่อ "มันเป็นหนังแอ็คชั่นไฮเทค หนังสเปเชียลเอ็ฟเฟ็ค ดราม่าโรแมนติค และความลึกลับแห่งฆาตกรรม การเดินเรื่องไปและย้อนกลับมาของโพรยาสเกี่ยวกับสิ่งที่แตกต่างเป็นเรื่องอัจฉริยะ โดยทั่วไปจะมีความขัดแย้งระหว่างโครงสร้างของความลึกลับ และโครงสร้างของหนังแอ็คชั่น มันเป็นสิ่งที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่อเล็กซ์แหกกฎของสรรพสิ่งและสร้างสิ่งที่จะกลายเป็นเรื่องใหม่และพิเศษสุด"
I, ROBOT เป็นความท้าทายใหม่ของอเล็กซ์ "ในฐานะนักแสดงมันเป็นเรื่องยากมากที่เราจะสามารถ แสดง ในหนังแอ็คชั่น สำหรับผมมันน่าสนใจที่จะแสดงเป็นตัวละครที่มีปัญหา เพราะประสบความสำเร็จในการแสดงบท ชาย-ที่มีความสุข-โชคดีที่ช่วยปกป้องโลก ผมไม่เคยแสดงเป็นตัวละครที่มีปมและบาดแผลในอารมณ์ และผมชอบที่จะดำดิ่งลงสู่จิตใจของตัวละครที่มีปัญหา มันเป็นการหักมุมที่ต่างออกไปสำหรับผม"
หลังจากสมิธเซ็นสัญญาเพื่อรับบทนักสืบ เดล สปูนเนอร์ และทำหน้าที่ผู้อำนวยการบริหารให้กับภาพยนตร์ เขาได้เสนอแนะว่าควรให้ อากีว่า โกลด์สแมน ("A Beautiful Mind") เจ้าของรางวัลตุ๊กตาทองมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมงาน สมิธอยากให้มีความเป็นวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่นขึ้น และเป็นเรื่องเอนเอียงไปในแนวนิยายวิทยาศาสตร์ "เรามองว่าหนังเรื่องนี้เป็นสิ่งที่พิเศษสุดที่น่าจะคงอยู่ได้สักระยะ" สมิธกล่าว "เราอยากให้มีความท้าทายที่มากขึ้นและขอบเขตของสิ่งต่างๆ"
"คำขอของวิลคือเสียงดนตรีสำหรับหูของอเล็กซ์และตัวผม" อากีว่า โกลด์สแมน กล่าว เขาเป็นแฟนของอาซิมอฟมาแต่เด็ก โพรยาส สมิธ โกลด์สแมน ผู้อำนวยการสร้างวิค กิดฟรีย์ และผู้บริหารของฟ็อกซ์ได้ร่วมหารือกันในฟลอริดา ในช่วงที่สมิธกำลังถ่ายทำเรื่อง "Bad Boys II," เพื่อดูรายละเอียดของสคริปท์ "เราหมกตัวกันอยู่ในโรงแรม และตีแผ่กันฉากต่อฉาก" โกลด์สแมนเปิดเผย "เราคงไว้ซึ่งการหักมุมในแบบของอาซิมอฟ - นั่นคือสิ่งที่ถูกนำเสนอในงานของเจฟ วินทาร์ - แต่ทำให้มันเหมาะสมกับการแสดงแบบสามองก์"
ทีมผู้สร้างทำให้ตัวละคร นักสืบ เดล สปูนเนอร์ โดดเด่นจากคนอื่นๆ การต่อต้านเทคโนโลยีของสปูนเนอร์- และต่อหุ่นยนต์ ในโลกที่พวกมันเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน - เป็นปัจจัยที่จำเป็นยิ่ง "สปูนเนอร์รักเสื้อผ้ารุ่นเก่า เพลงรุ่นเก่า และเขาคิดถึงช่วงเวลาที่เรียบง่าย" สมิธเล่า "เขาไม่ชอบหุ่นยนต์ เขาจึงเป็นนักสืบที่เหมาะที่สุดที่จะสอบสวนคดีฆาตกรรมนี้ เพราะเขา อยาก ที่จะค้นหาสิ่งที่ผิดอยู่แล้ว"
ความสัมพันธ์ของสปูนเนอร์กับ ดร. ซูซาน คาลวิน นักหุ่นยนต์วิทยา เป็นหัวใจของเรื่อง และการหานักแสดงหญิงที่เป็นคู่ที่ดูน่าเชื่อและคิดอย่างตรงข้ามกับวิล สมิธ - และเพื่อเป็นน้ำหนักของอารมณ์สำหรับตัวละครที่ถูกสร้างโดย ไอแซค อาซิมอฟ - นับเป็นงานที่ยากเย็นมากสำหรับทีมผู้สร้าง
"บริดเจ็ต โมยนาแฮน เป็นคนที่เหมาะที่สุดอย่างที่เราต้องการสำหรับบทนี้ - ประกายแห่งความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ถูกฝังอยู่ภายใต้ความเย็นชาภายนอก" จอห์น เดวิส กล่าว
โมยนาแฮนอ้าแขนรับความซับซ้อนของตัวละคร ซูซานเป็นจิตแพทย์ของหุ่นยนต์ที่อยู่คนละขั้วกับสปูนเนอร์ ; เธอเต็มไปด้วยเหตุผลและมุ่งมั่น ทุกอย่างเป็นเหตุและผลสำหรับเธอ และเธอมีมุมมองที่แตกต่างจากสปูนเนอร์มาก "ซูซานต้องต่อสู้ที่จะยึดหลักตรรก เพราะว่านั่นเป็นสิ่งที่เธอใช้เป็นพื้นฐานของชีวิต แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไป เธอก็ชนกับ "กำแพง" แห่งวิยาศาสตร์และอารมณ์ที่ทำให้เธอและความเชื่อของเธอเปลี่ยนไป มันจึงเป็นเรื่องสนุกที่ได้เฝ้าดูเส้นทางนั้น"
"ตัวละครของบริดเจ็ตและวิลต้องเผชิญกับปัญหาเดียวกัน แต่จากมุมมองที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง" โพรยาสกล่าวเสริม "พวกเขามีความเชื่อที่ต่างกันในตอนต้นเรื่อง สปูนเนอร์เกลียดหุ่นยนตร์ เขาไม่ไว้ใจเทคโนโลยี เขาเป็นคนหัวเก่าในโลกอนาคต ซูซานชอบหุ่นยนต์มากกว่ามนุษย์ ; เธอเป็นคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากในการสร้างหุ่นยนต์และเธอเชื่อว่าพวกมันจะดีกว่าเรา และทำให้เราดีขึ้นได้ ในที่สุด ความเชื่อก็ทำให้ตัวละครทั้งสองไปพบกับวิกฤติสำหรับเหตุผลที่แตกต่างกันอย่างมาก"
สปูนเนอร์และ ดร. คาลวิน ได้รับความช่วยเหลือในการค้นหาความจริงโดยหุ่นยนต์ตัวหนึ่งที่มีชื่อว่าซันนี่ รับบทโดย อลัน ทูดิค ทีมงานวิชวลเอ็ฟเฟ็คและทูดิคร่วมกันทำงานเพื่อสร้างดาราดิจิตัลตัวจริงที่มีอารมณ์ มันสมอง และแม้กระทั่งอารมณ์ขัน ความสัมพันธ์ทางอารมณ์ระหว่างซันนี่และสปูนเนอร์ อยู่ในหัวใจของเรื่อง
"ซันนี่เป็นบทที่น่าสนใจและยาก เพราะเขาเป็นหุ่นยนต์ที่มีความเป็นมนุษย์สูง" วิค กอดฟรีย์ ผู้อำนวยการสร้างกล่าว "เขามีความไร้เดียงสาและความอบอุ่น เพราะเขาถูกสร้างมาให้แตกต่างจากหุ่นยนต์ตัวอื่นๆ ซันนี่ยังมีอารมณ์ขันอีกด้วย อลันเป็นนักแสดงตลกที่เก่งกาจ เป็นดาราละคร และเขาทำได้ดีมาก"
"ซันนี่เป็นเหมือนเด็กคนหนึ่ง" ทูดิคเล่า "ในบางเวลาเขาไม่เข้าใจเพราะเขาซื่อตรงและแม่นยำเกินไป" ทูดิคกล่าว แต่เขาก็ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมและมองโลกในแง่ดี ซันนี่ถูกสร้างขึ้นอย่างมีวัตถุประสงค์ และเขาไม่เคยรับรู้วัตถุประสงค์นั้น เขามีความลับหลายต่อหลายอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวเอง และในตอนจบของหนัง วัตถุประสงค์ของเขาก็ถูกเปิดเผย"
ทูดิคมาถึงแวนคูเวอร์หนึ่งเดือนก่อนหน้าการถ่ายทำหลัก เพื่อเตรียมตัวสำหรับบทบาทของเขา โดยเน้นการเคลื่อนไหวทางชีวภาพ และการพูดและงานแสดงใบ้ เขายังฝึกคิกบ็อกซิ่ง งานฝึกหลักและออกกำลังสร้างสมดุลย์
หลังจากเริ่มการถ่ายทำ พอล เมอซูริโอ นักแสดง/นักเต้น ("Strictly Ballroom") ได้มาร่วมในการออกแบบการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์ตัวอื่นๆ "ผมเป็นหุ่นยนต์เพียงตัวเดียวที่ไม่ทำงานกับพอล" ทูดิคบอก "มันเป็นเหมือนการคิดท่าบริหารร่างกายมากกว่า เนื่องจากซันนี่เป็นหุ่นยนต์รุ่นใหม่ เขาเป็นเอกลักษณ์และแตกต่างจากหุ่นยนต์ตัวอื่นๆ "
บรูซ กรีนวู้ด บทเป็นลอว์เรนส์ โรเบิร์ตสันประธานของบริษัท U.S. Robotics "มนุษย์เงิน" ซึ่งเป็นคนสร้างอาณาจักรหุ่นยนต์ เรื่องเริ่มขึ้นในตอนเย็นของวันเปิดตัวหุ่นยนต์รุ่น NS-5 "เรากำลังจะนำเสนอเทคโนโลยีที่แสนมหัศจรรย์และอัจฉริยะต่อโลก… ในราคาที่ทุกคนสามารถซื้อหาได้" กรีนวู้ดพูดอย่างไร้อารมณ์ "เราแนะนำให้รู้จักกับหุ่นยนตร์รุ่นใหม่ที่มีความซับซ้อนมากกว่ารุ่นก่อนๆ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เทียบได้กับช่วงการปฎิวัติอุตสาหกรรม แต่มันจะเกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน
"หนึ่งในบรรดาแกนที่ครอบคลุมเรื่อง ก็คืออัจฉริยะสมองกลเผชิญกับอัจฉริยะโดยธรรมชาติ" กรีนวู้ดกล่าวเสริม "เมื่อไหร่ที่อัจฉริยะสมองกลไม่ได้เป็นสมองกล แต่กลับมีชีวิต? ถ้าคอมพิวเตอร์หรือหุ่นยนตร์เริ่มต้นที่จะคิดได้ อะไรที่ไม่ใช่ของจริง? ผมว่าทุกอย่างมันน่าสนใจ"
ชี แมคไบรด์ ร่วมทีมดาราเป็นผู้กอง จอห์น เบอร์กิน อาจารย์และนายของสปูนเนอร์ "เบอร์กินและสปูนเนอร์ เป็นเพื่อนกันมานานมาก" แมคไบรด์กล่าว "มันมีเหตุการณ์หนึ่งในชีวิตของสปูนเนอร์ที่สะเทือนใจ ที่ยังคงมีผลกับชีวิตเขา เบอร์กินรู้ดี และเขาพยายามที่จะดึงสปูนเนอร์อย่างช้าๆ ให้กลับเข้าสู่ทางสายหลักของการเป็นนักสืบ"
นักแสดงมือเก่า เจมส์ ครอมเวลล์ รับบท ดร. อัลเฟร็ด แลนนิ่ง อัจฉริยะทางเทคนิคที่อยู่เบื้องหลังการขึ้นสู่จุดสูงสุดของ U.S. Robotics ซึ่งการตายของเขาเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่อง
ครอมเวลล์ต้องการมีส่วนร่วมกับ I, ROBOT เนื่องจากประเด็นที่ชี้ให้เห็น "หนังมีคำถามที่ดึงดูดใจอยู่มากมาย" ครอมเวลล์กล่าว อะไรคือจรรยาบรรณของสิ่งที่เราเลือก? อะไรคือผลลัพธ์ของเครื่องจักรสมองกล และมนุษย์มีปฏิกิริยาต่อมันอย่างไร? ผมชื่นชมในสิ่งที่ทีมผู้สร้างได้ทำหนังนักสืบอย่างตรงไปตรงมา และขยายความไปสู่การตรวจสอบของปัญหาบางอย่างที่อาจเป็นผลจากคำถามเหล่านี้"
สำหรับการค้นพบ "ปีศาจในเครื่องจักร" ที่คุกคามต่อความปลอดภัยของมนุษยชาติ แลนนิ่งได้สร้างภาพสามมิติของตัวเองเอาไว้, ซึ่งเป็นเบาะแสให้กับสปูนเนอร์หลังจากที่เขาเสียชีวิตไป "ผมบอกกับเขาว่าปัญหาคืออะไร และควรทำอะไรต่อไป" อย่างที่เขาอธิบายว่า "มันเหมือนเรื่อง 'แฮนเซลและเกรเทล' ที่เดินตามเศษขนมปังไปตามทางเดิน"--จบ--
-นท-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ