เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ส่องโลกจากมุมมองไทย

ข่าวทั่วไป Friday June 22, 2012 11:32 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--22 มิ.ย.--เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ให้มุมมองตลาดทุนโลกจากมุมมองของไทยในงานสัมมนา “การลงทุนในต่างประเทศ : วิถีใหม่ในการสร้างความมั่งคั่ง” นายแอนดรูว์ สตอทซ์, CFA กรรมการผู้จัดการ สายธุรกิจระหว่างประเทศ บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวในงานสัมมนา “การลงทุนในต่างประเทศ : วิถีใหม่ในการสร้างความมั่งคั่ง” จัดโดย บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ในโอกาสเปิดบริการใหม่ Private Wealth เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา โดยนายแอนดรูว์ได้แสดงวิสัยทัศน์ถึงมุมมองการลงทุนในตลาดทั่วโลก ดังนี้ ตลาดโลก ตลาดสหรัฐฯน่าสนใจ สลับการลงทุนจากตราสารหนี้มาสู่ตราสารทุน - ณ ขณะนี้ตลาดอเมริกาเป็นที่น่าจับตามอง ตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนเหนือหุ้นมากกว่า 5 ปีแล้ว - กว่าสองทศวรรษที่ตลาดทุนได้เติบโตสองถึงสามเท่า ซึ่งนำไปสู่การปรับตัวลดลงในตลาดทุนสหรัฐฯ - ตลาดอเมริกาน่าสนใจจากค่า PE ที่ต่ำ ผลตอบแทนสูง ในขณะที่ยังมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในตลาดโลก ความเสี่ยงหลักของสหรัฐฯอาจเกิดการลดค่าเงินดอลล่าร์ เนื่องจากปัญหาหนี้สินภาครัฐบาล - ตลาดสหรัฐฯน่าสนใจมากกว่าการลงทุนทองคำ ราคาทองคำเป็นตัวสะท้อนสมมติฐานของความเลวร้ายของโลก เนื่องจากหนี้สินภาครัฐบาล แต่ต้องระวังเพราะทองคำปรับตัวสูงขึ้นมามากแล้ว ประเมินตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 4 ด้าน - ผู้บริโภค การใช้จ่ายจะเป็นการเพิ่มอุปสงค์ และสามารถเพิ่มการใช้จ่ายของรายได้ในอนาคตผ่านการกู้ยืมเงิน ในยุโรปและสหรัฐฯกำลังเผชิญปัญหาหนี้สิน - ธุรกิจ เมื่ออุปสงค์เพิ่มขึ้น กำลังการผลิตก็เพิ่มขึ้นด้วย โดยใช้บัญชีสะสมหรือเพิ่มทุน เช่น การเพิ่มทุนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่มีธุรกิจในภูมิภาคใดที่กำลังเผชิญกับปัญหาหนี้สิน - ธนาคาร จัดหาเงินทุนเพื่อการเติบโตของการบริโภคและการขยายกิจการโดยเงินกู้หรือซื้อตราสารหนี้ของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งธนาคารจะได้เงินจากเงินฝากของผู้บริโภคและธุรกิจ เช่นเดียวกับการกู้ยืม ขณะนี้กลุ่มธนาคารในเอเชียมีเงินทุนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ขณะที่ยุโรปอ่อนที่สุด - รัฐบาล เก็บภาษีจากผู้บริโภค ธุรกิจ และธนาคาร โดยใช้จ่ายเงินภาษีผ่านทางบริการภาครัฐ ถ้าเงินภาษีไม่เพียงพอ รัฐบาลจำเป็นต้องกู้ยืม และนำรายได้จากภาษีในอนาคตไปใช้หนี้ ในสหรัฐฯและยุโรปรัฐบาลกำลังเผชิญปัญหาหนี้สิน ซึ่งทำให้เกิดฟองสบู่ในยุโรป ขณะที่รัฐบาลในเอเชียไม่มีปัญหาหนี้สินยกเว้นญี่ปุ่นและอินเดีย การลงทุนในเอเชีย - ฮ่องกงและจีนเป็นผู้นำตลาดในเอเชีย ไม่รวมญี่ปุ่น - ไทย อินโดนีเซีย เกาหลี และมาเลเซียแปรผันตามน้ำมัน - ตลาดที่ผลตอบแทนดีที่สุดเมื่อเทียบกับความเสี่ยงคือ อินโดนีเซีย ฮ่องกง มาเลเซีย และอินเดีย - ตลาดไทยไม่ค่อยแปรผันตามตลาดจีน ไต้หวัน อินเดีย และสิงคโปร์ - ตลาดจีน เกาหลีและไทยน่าสนใจที่สุดจากการประเมิณมูลค่าหุ้นของทั้งตลาด เครื่องมือที่ช่วยในการพัฒนาการลงทุน - เมื่อ PE ไทยต่ำกว่า 18 เท่ามีโอกาสทำกำไรจากการถือในระยะเวลา 1-3 ปี - การวิจัยผลกำไรของบริษัทไทยในการกลับสู่ค่าเฉลี่ย 1. คาดว่าดาวรุ่งจะตกลง ควรสงสัยในการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ว่ากำไรจะอยู่จุดที่สูงตลอดไป เราควรคำนึงถึงว่ากำไรจะลดลงด้วย 2. ดาวรุ่งมักไม่กลายเป็นดาวร่วง ถึงแม้ว่ากำไรของกลุ่มดาวรุ่งจะหดลงแต่กำไรมักจะคงอยู่เหนือค่าเฉลี่ย 3. ดาวร่วงมันจะไม่ค่อยฟื้นตัว อย่าให้ความสำคัญกับหุ้นฟื้นตัวมากนัก เพราะดาวร่วงมักไม่ค่อยฟื้นตัว แต่จะอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย - ผลกระทบจากการตื่นตระหนกและเทขายหุ้น ในตลาดไทยเพียงแค่ออกจากตลาด 10 วัน นักลงทุนสามารถเสียผลกำไรที่ได้ทั้งหมด เพราะวันที่ตลาดลงร่วงอย่างหนัก จะตามติดด้วยวันที่ให้ผลกำไรสูง - ถ้านักลงทุนทำตามคำแนะนำของนักวิเคราะห์มีโอกาสเพียงแค่ 50% ที่จะทำกำไรเหนือตลาด - นักลงทุนสามารถใช้ข้อมูลทางการเงินในอดีต เพื่อสร้างผลกำไรที่ชนะตลาดได้จากการซื้อหุ้นที่มีค่า PE ต่ำ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ