กรุงเทพฯ--22 มิ.ย.--เมย์แบงก์ กิมเอ็ง
เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ให้มุมมองตลาดทุนโลกจากมุมมองของไทยในงานสัมมนา “การลงทุนในต่างประเทศ : วิถีใหม่ในการสร้างความมั่งคั่ง”
นายแอนดรูว์ สตอทซ์, CFA กรรมการผู้จัดการ สายธุรกิจระหว่างประเทศ บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวในงานสัมมนา “การลงทุนในต่างประเทศ : วิถีใหม่ในการสร้างความมั่งคั่ง” จัดโดย บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ในโอกาสเปิดบริการใหม่ Private Wealth เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา โดยนายแอนดรูว์ได้แสดงวิสัยทัศน์ถึงมุมมองการลงทุนในตลาดทั่วโลก ดังนี้
ตลาดโลก ตลาดสหรัฐฯน่าสนใจ สลับการลงทุนจากตราสารหนี้มาสู่ตราสารทุน
- ณ ขณะนี้ตลาดอเมริกาเป็นที่น่าจับตามอง ตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนเหนือหุ้นมากกว่า 5 ปีแล้ว
- กว่าสองทศวรรษที่ตลาดทุนได้เติบโตสองถึงสามเท่า ซึ่งนำไปสู่การปรับตัวลดลงในตลาดทุนสหรัฐฯ
- ตลาดอเมริกาน่าสนใจจากค่า PE ที่ต่ำ ผลตอบแทนสูง ในขณะที่ยังมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในตลาดโลก ความเสี่ยงหลักของสหรัฐฯอาจเกิดการลดค่าเงินดอลล่าร์ เนื่องจากปัญหาหนี้สินภาครัฐบาล
- ตลาดสหรัฐฯน่าสนใจมากกว่าการลงทุนทองคำ ราคาทองคำเป็นตัวสะท้อนสมมติฐานของความเลวร้ายของโลก เนื่องจากหนี้สินภาครัฐบาล แต่ต้องระวังเพราะทองคำปรับตัวสูงขึ้นมามากแล้ว
ประเมินตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 4 ด้าน
- ผู้บริโภค การใช้จ่ายจะเป็นการเพิ่มอุปสงค์ และสามารถเพิ่มการใช้จ่ายของรายได้ในอนาคตผ่านการกู้ยืมเงิน ในยุโรปและสหรัฐฯกำลังเผชิญปัญหาหนี้สิน
- ธุรกิจ เมื่ออุปสงค์เพิ่มขึ้น กำลังการผลิตก็เพิ่มขึ้นด้วย โดยใช้บัญชีสะสมหรือเพิ่มทุน เช่น การเพิ่มทุนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่มีธุรกิจในภูมิภาคใดที่กำลังเผชิญกับปัญหาหนี้สิน
- ธนาคาร จัดหาเงินทุนเพื่อการเติบโตของการบริโภคและการขยายกิจการโดยเงินกู้หรือซื้อตราสารหนี้ของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งธนาคารจะได้เงินจากเงินฝากของผู้บริโภคและธุรกิจ เช่นเดียวกับการกู้ยืม ขณะนี้กลุ่มธนาคารในเอเชียมีเงินทุนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ขณะที่ยุโรปอ่อนที่สุด
- รัฐบาล เก็บภาษีจากผู้บริโภค ธุรกิจ และธนาคาร โดยใช้จ่ายเงินภาษีผ่านทางบริการภาครัฐ ถ้าเงินภาษีไม่เพียงพอ รัฐบาลจำเป็นต้องกู้ยืม และนำรายได้จากภาษีในอนาคตไปใช้หนี้ ในสหรัฐฯและยุโรปรัฐบาลกำลังเผชิญปัญหาหนี้สิน ซึ่งทำให้เกิดฟองสบู่ในยุโรป ขณะที่รัฐบาลในเอเชียไม่มีปัญหาหนี้สินยกเว้นญี่ปุ่นและอินเดีย
การลงทุนในเอเชีย
- ฮ่องกงและจีนเป็นผู้นำตลาดในเอเชีย ไม่รวมญี่ปุ่น
- ไทย อินโดนีเซีย เกาหลี และมาเลเซียแปรผันตามน้ำมัน
- ตลาดที่ผลตอบแทนดีที่สุดเมื่อเทียบกับความเสี่ยงคือ อินโดนีเซีย ฮ่องกง มาเลเซีย และอินเดีย
- ตลาดไทยไม่ค่อยแปรผันตามตลาดจีน ไต้หวัน อินเดีย และสิงคโปร์
- ตลาดจีน เกาหลีและไทยน่าสนใจที่สุดจากการประเมิณมูลค่าหุ้นของทั้งตลาด
เครื่องมือที่ช่วยในการพัฒนาการลงทุน
- เมื่อ PE ไทยต่ำกว่า 18 เท่ามีโอกาสทำกำไรจากการถือในระยะเวลา 1-3 ปี
- การวิจัยผลกำไรของบริษัทไทยในการกลับสู่ค่าเฉลี่ย
1. คาดว่าดาวรุ่งจะตกลง ควรสงสัยในการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ว่ากำไรจะอยู่จุดที่สูงตลอดไป เราควรคำนึงถึงว่ากำไรจะลดลงด้วย
2. ดาวรุ่งมักไม่กลายเป็นดาวร่วง ถึงแม้ว่ากำไรของกลุ่มดาวรุ่งจะหดลงแต่กำไรมักจะคงอยู่เหนือค่าเฉลี่ย
3. ดาวร่วงมันจะไม่ค่อยฟื้นตัว อย่าให้ความสำคัญกับหุ้นฟื้นตัวมากนัก เพราะดาวร่วงมักไม่ค่อยฟื้นตัว แต่จะอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
- ผลกระทบจากการตื่นตระหนกและเทขายหุ้น ในตลาดไทยเพียงแค่ออกจากตลาด 10 วัน นักลงทุนสามารถเสียผลกำไรที่ได้ทั้งหมด เพราะวันที่ตลาดลงร่วงอย่างหนัก จะตามติดด้วยวันที่ให้ผลกำไรสูง
- ถ้านักลงทุนทำตามคำแนะนำของนักวิเคราะห์มีโอกาสเพียงแค่ 50% ที่จะทำกำไรเหนือตลาด
- นักลงทุนสามารถใช้ข้อมูลทางการเงินในอดีต เพื่อสร้างผลกำไรที่ชนะตลาดได้จากการซื้อหุ้นที่มีค่า PE ต่ำ