กรุงเทพฯ--28 มิ.ย.--LG-One
บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความสำเร็จในการครองความเป็นผู้นำตลาดเครื่องซักผ้าต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 ด้วยความเชี่ยวชาญในการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ควบคู่ไปกับดีไซน์ที่โดดเด่น และความทนทานของผลิตภัณฑ์ที่วางใจได้ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างตรงจุด เตรียมส่งเครื่องซักผ้าที่มีถังซักขนาดที่ใหญ่ที่สุดในตลาดถึง 20 กิโลกรัม ทั้งรุ่นฝาบนและฝาหน้า รุกตลาดพรีเมียม พร้อมนำเทรนด์ระดับโลก “เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ” (Smart Appliances) สู่ผู้บริโภคชาวไทย วางเป้าหมายเติบโตด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 35% พร้อมมั่นใจครองแชมป์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 ภายในปี 2555 นี้
คุณธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้แอลจีสามารถครองผู้นำตลาดได้อย่างต่อเนื่องถึง 11 ปีซ้อนว่า “แอลจีมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ๆ พร้อมสำรวจความคิดเห็นและความต้องการของผู้บริโภคอยู่เสมอ เราจึงสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด รวมถึงการให้ความสำคัญในการออกแบบที่สวยงาม คำนึงถึงความสะดวกสบายในการใช้งานเป็นหลัก ที่สำคัญ คือ ความสม่ำเสมอในการรักษาและปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เครื่องซักผ้าของแอลจีจึงมีความทนทานสูง โดยแอลจีเป็นแบรนด์แรกในตลาดที่กล้ารับประกันมอเตอร์นานถึง 10 ปี ด้วยเหตุนี้ แอลจีจึงได้รับความเชื่อถือจากผู้บริโภคมายาวนาน โดยได้รับการการันตีจากรางวัลแบรนด์เครื่องซักผ้าที่เชื่อมั่นได้ 5 ปีซ้อนจากนิตยสารรีดเดอร์ส ไดเจสท์ และเป็นแบรนด์เครื่องซักผ้าที่มียอดขายเป็นอันดับหนึ่ง ติดต่อกัน 11 ปีซ้อน จากจีเอฟเค”
จากการทำวิจัยเพื่อสำรวจความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้แอลจีสามารถพัฒนานวัตกรรมสำหรับเครื่องซักผ้าที่ก้าวล้ำและตอบโจทย์ลูกค้าได้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี อินเวอร์เตอร์ ไดเร็ค ไดร์ฟ ซึ่งมอเตอร์ต่อตรงเข้ากับตัวถังซัก ช่วยประหยัดค่าไฟสูงถึง 45% พร้อมลดการสั่นสะเทือนที่รุนแรงและยืดอายุการใช้งานของมอเตอร์ให้ยาวนานยิ่งขึ้น เทคโนโลยีไอน้ำร้อนที่สามารถขจัดสารก่อภูมิแพ้ได้ถึง 99.99% และล่าสุดกับเทคโนโลยี ซิกส์ โมชั่น อินเวอร์เตอร์ ไดเร็ค ไดร์ฟ ซึ่งระบบถังซักสามารถเคลื่อนที่ได้ถึง 6 ทิศทาง จึงสามารถซักผ้าได้ทุกประเภทอย่างนุ่มนวลเสมือนการซักด้วยมือ และที่โดดเด่นอีกด้านคือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เน้นทั้งความสวยงาม เช่น การตกแต่งด้วยคริสตัลสวารอฟสกี้ จึงทำให้แอลจีสามารถเป็นส่วนหนึ่งของเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านได้อย่างสวยงามลงตัว และอำนวยความสะดวกสบายในการใช้งาน เช่น การเลือกใช้ฝาปิดแบบใสเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเห็นการทำงานของเครื่องได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ แอลจียังให้ความสำคัญกับลูกค้าด้วยบริการหลังการขายที่รวดเร็ว ด้วยศูนย์บริการที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 160 แห่ง ทั่วประเทศ และแอลจี พริวิลเลจ เซอร์วิสที่ให้บริการโทรปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมให้บริการเครื่องสำรองทดแทนกรณีซ่อมแซมเกินสามวัน
คุณนิพนธ์ วงษ์แสงอรุณศรี ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเทรนด์ของผู้บริโภคสำหรับปี 2555 นี้ว่า “ผู้บริโภค ชาวไทยยังคงให้ความสำคัญกับการประหยัดพลังงานและการรักษาสุขภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องซักผ้า แอลจีจึงเพิ่มรุ่นฝาหน้าของซิกส์ โมชั่น อินเวอร์เตอร์ ไดเร็ค ไดร์ฟ จาก 6 รุ่นเป็น 10 รุ่น และเพิ่มรุ่นฝาบน จาก 3 รุ่นเป็น 6 รุ่น เพื่อให้ผู้บริโภคทุกกลุ่มได้สัมผัสกับนวัตกรรมนี้กันมากขึ้น และยังตอบรับความต้องการของผู้บริโภคด้วยซิกส์ โมชั่น อินเวอร์เตอร์ ไดเร็ค ไดร์ฟ ที่มีขนาดถังซักที่ใหญ่ที่สุดในตลาดถึง 20 กิโลกรัม ทั้งรุ่นฝาบนและฝาหน้า นอกจากนี้ แอลจียังได้ตอกย้ำภาพความเป็นผู้นำตลาดเครื่องซักผ้า โดยการนำเทรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Appliances) ระดับโลกมาสู่ผู้บริโภคชาวไทย ด้วยฟีเจอร์ล่าสุด สมาร์ท ไดแอกนอสซิส (Smart Diagnosis) ซึ่งช่วยวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาของเครื่องซักผ้า โดยผู้ใช้งานสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเองผ่านสมาร์ทโฟน หรือโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ให้เตรียมนำอะไหล่ที่ถูกต้องมาซ่อมแซมได้ทันที จึงช่วยประหยัดทั้งค่าใช้จ่ายและเวลาของผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี”
ปัจจุบัน เครื่องซักผ้าของแอลจีมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งอยู่ที่ 31% สำหรับเป้าหมายของปี 2555 คือการเพิ่มสัดส่วนเป็น 35% หรือคิดเป็นมูลค่ารวม 5 พันล้านบาท แอลจีจึงได้เตรียมจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดแบบครบวงจร ทั้งโฆษณา ประชาสัมพันธ์ โปรโมชั่นพิเศษหน้าร้าน รวมถึงการจัดโรดโชว์ทั่วประเทศไทย และเพื่อให้แอลจีก้าวไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ แอลจียังจับมือร่วมกับผงซักฟอกบรีสและน้ำยาปรับผ้านุ่มคอมฟอร์ท ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย อาทิ มอบผลิตภัณฑ์ การจัดบูธหน้าร้าน และสื่อสารผ่านทางสื่อออนไลน์ เพื่อตอกย้ำถึงความเชี่ยวชาญและความเป็นผู้นำในธุรกิจร่วมกัน