กรุงเทพฯ--11 ก.ค.--บีโอไอ
บีโอไอเผยสถิติการขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรก 2555 ทะลุ 1,000 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนทะยานแตะ 5 แสนล้านบาท ยังเหลือเวลาอีกครึ่งปีที่จะดึงดูดการลงทุนให้ถึงเป้าหมายใหม่ 6.3 แสนล้าน ยอดขอรับส่งเสริมในมิถุนายนเดือนเดียว มีมูลค่าสูงกว่า 1 แสนล้านบาท เพราะมีโครงการขนาดใหญ่ระดับหมื่นล้าน และระดับ 1 — 7 พันล้านเป็นจำนวนมาก ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตยางรถยนต์ขยายการลงทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาท ตามด้วยกลุ่มปิโตรเคมี เครื่องยนต์เบนซิน และโรงไฟฟ้า
นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยถึงภาวะการลงทุนภาคอุตสาหกรรมในปีนี้ ว่า มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และคาดว่ามูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุนในปีนี้ จะสูงกว่าเป้าหมายใหม่ที่วางไว้ 630,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจากเป้าเดิมที่วางไว้ 600,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อแผนบริหารจัดการน้ำและแผนการดำเนินงานรับมือสถานการณ์อุทกภัยของรัฐบาลด้วย
ทั้งนี้ ระหว่างเดือนมกราคม — มิถุนายน 2555 มีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน จำนวน 1,057 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 478,500 ล้านบาท โดยจำนวนโครงการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 เมื่อเทียบกับจำนวนโครงการที่ขอรับส่งเสริมในช่วงเดียวกันของปี 2554 ซึ่งมีจำนวน 836 โครงการ ขณะที่มูลค่าเงินลงทุนในช่วงครึ่งปี 2555 ขยายตัวร้อยละ 97 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2554 ซึ่งมีมูลค่า 242,000 ล้านบาท
สำหรับอุตสาหกรรมที่มีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนเข้ามามากที่สุด คือ อุตสาหกรรมบริการ และสาธารณูปโภค จำนวน 277 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 116,100 ล้านบาท รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องจักร และโลหะ มีจำนวน 264 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 111,200 ล้านบาท ตามด้วย อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 164 โครงการ มูลค่ารวม 62,500 ล้านบาท
ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กระดาษ พลาสติก มีการยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 141 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 119,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด เพราะมีโครงการขนาดใหญ่ระดับหลายหมื่นล้านในกลุ่ม ปิโตรเคมียื่นขอลงทุนหลายโครงการ
“ การขอรับส่งเสริมการลงทุนเฉพาะในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีจำนวนโครงการ และมูลค่าเงินลงทุนสูงที่สุด เมื่อเปรียบเทียบรายเดือนในปีนี้ โดยมีจำนวน 251 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 104,300 ล้านบาท ซึ่งการที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงเป็นเพราะ มีโครงการขนาดใหญ่จำนวนมาก ยื่นขอรับส่งเสริมเข้ามาในเดือนมิถุนายนนี้ อาทิ โครงการผลิตยางรถยนต์ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาท โครงการผลิตเคมีภัณฑ์ มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท โครงการผลิตเครื่องยนต์เบนซิน มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท โครงการผลิตพลังงานไฟฟ้า มูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท และมีโครงการขนาดใหญ่มูลค่าตั้งแต่ 1,000 — 3,000 ล้านอีกหลายโครงการ” เลขาธิการบีโอไอกล่าว
ทั้งนี้ จากจำนวนโครงการและมูลค่าขอรับส่งเสริมในช่วงครึ่งปี เป็นโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมภายใต้มาตรการสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย จำนวน 83 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 35,746 ล้านบาท และมาตรการสำหรับโครงการลงทุนใหม่ในพื้นที่ประสบอุทกภัย มีจำนวน 22 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 13,612 ล้านบาท