สหการประมูลปรับโมเดลธุรกิจจากครอบครัวสู่บริษัทมหาชน เผยครองส่วนแบ่งอันดับ 1 เตรียมทะยานสู่ผู้นำตลาดอาเซียน

ข่าวยานยนต์ Monday July 16, 2012 15:10 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--16 ก.ค.--สหการประมูล สหการประมูลเผยยอดขายครึ่งปี 55 โต 50%พร้อมรุกตลาดด้วยกลยุทธ์เข้าถึงลูกค้ารายย่อย เร่งปรับโมเดลธุรกิจจากประมูลมือสองแบบครอบครัวสู่บริษัทมหาชน ย้ำยังคงครองส่วนแบ่งตลาดประมูลรถยนต์อันดับ 1 ของเมืองไทย เร่งศึกษาตลาดในภูมิภาคเตรียมทะยานสู่ผู้นำประมูลมือสองของอาเซียน นายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท สหการประมูลจำกัดเปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์มือสองในเมืองไทยยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก บริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดสูงที่สุดและมีการประมูลซื้อ-ขายปีละ 35,000-40,000 คัน แต่ข้อมูลจากกรมขนส่งระบุว่าทุกๆ ปีจะมีการซื้อขายรถยนต์มือสองมากกว่ารถใหม่ในระดับ 1-2 เท่า ทำให้เห็นว่ากรณีรถยนต์ใหม่ซื้อขาย 1 ล้านคันต่อปี รถยนต์มือสองเองมีตัวเลขที่สูงกว่านั้น สำหรับ เป้าหมายของสหการประมูลต่อจากนี้ ก็คือต้องการยกระดับเป็นมหาชน เนื่องจากมีความเป็นมืออาชีพในการบริหารงาน มีความโปร่งใส มีจรรยาบรรณ และจริยธรรม ส่วนหนึ่งเพื่อรองรับการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น เพราะในปัจจุบันบริษัทอันดับ 2-3 ของธุรกิจประมูลรถยนต์ในประเทศไทยก็เป็นบริษัทต่างประเทศ และในเร็ว ๆ นี้ก็จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ส่วนเป้าหมายของบริษัทอีก 1-2 ปีข้างหน้านายเอกพิทยา กล่าวว่า สหการประมูลมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะพัฒนาการให้บริการเพื่อเป็น “ผู้นำธุรกิจการประมูลของอาเซียน” ซึ่งปัจจุบันเราต้องตอกย้ำการเป็นผู้นำของธุรกิจประมูลในไทยและพร้อมการก้าวสู่ระดับอาเซียนแต่การก้าวสู่ผู้นำของตลาดได้ต้องมีวิสัยทัศน์ที่ดี และต้องมีการกำจัดจุดอ่อนที่เกิดขึ้นกับธุรกิจ เนื่องจากสหการประมูลเป็นธุรกิจที่ทำหน้าที่เป็นคนกลางและไม่สามารถสร้างห่วงโซ่อุปทานได้เอง หากสามารถควบคุมต้นน้ำได้ก็จะทำให้เกิดการเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้แล้วยังมีการศึกษาและการวางแผนเข้าสู่ตลาดในภูมิภาคอาเซียน เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขยายสาขาหรือการหาพันธมิตรทางธุรกิจในการขยายตลาดในภูมิภาคนี้ “ในเชิงปริมาณนั้นต้องทำให้สหการประมูลมีการเติบโตในแง่กำไรสูงขึ้น 3 ปีติดกันในระดับ 50-100% ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2554 ผลการดำเนินเริ่มฟื้นตัวในระดับสูงถึง 216 % ดังนั้นเป้าหมายควรจะทำได้ต่อเนื่องจนถึงปี 2556 และจึงมีการเติบโตแบบคงที่ และให้มีเสถียรภาพ โดยมีเป้าหมายในการยกระดับธุรกิจจากบริษัทครอบครัวเป็นบริษัทมหาชนของคนไทย ที่มีความโปร่งใส มีจริยธรรม และจรรยาบรรณ” นายเอกพิทยากล่าว และเปิดเผยเพิ่มเติมถึงกลยุทธ์ใหม่ ๆ สำหรับการทำตลาดในอนาคตว่า บริษัทมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเพิ่มธุรกิจต้นน้ำและตอกย้ำความเป็นมืออาชีพและผู้นำของธุรกิจประมูล โดยเริ่มจากโครงการใหม่ ๆ เช่น โครงการตลาดรถฝากขายโครงการประกันราคาโครงการรถเช่า เป็นต้น ทั้งยังวางแผนขยายสาขาในต่างประเทศ เพื่อบุกตลาดอาเซียนและรองรับการเปิดเสรีในปี 2 ปีข้างหน้า นายเอกพิทยากล่าวเพิ่มเติมถึงผลการดำเนินงานว่า ในปี 2554 เทียบกับ 2553 ธุรกิจโตขึ้นอย่างชัดเจนโดยกำไรสุทธิในปี 2554 เพิ่มขึ้น 216% เมื่อเทียบกับปี 2553 ส่วนในปีปี 2555 ซึ่งในผลประกอบการไตรมาสที่1/55 ยอดขายมีการปรับตัวสูงขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/54 50.53% โดยกำไรก่อนภาษีไตรมาสที่ 1/55 โตขึ้น 532.11% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/54 สาเหตุเนื่องจากบริษัทเริ่มรุกเข้าสู่ตลาดรถยนต์ประมูลจากลูกค้ารายย่อย (ผู้ใช้รถยนต์ทั่วไป) จึงส่งผลให้ยอดขายและอัตราส่วนกำไรปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับผลการดำเนินงาน 6 เดือนของปี 2555 เทียบกับ 2554 โตขึ้นกว่า 50% ทั้งนี้ บริษัทมีเป้าหมายเติบโตในระดับ 20-50% ในธุรกิจประมูลรถยนต์ แต่กำไรต้องโตในระดับ 70-100% โดยตั้งเป้าระดมทุนในตลาด MAI โดยกระจายหุ้น 25% เพื่อใช้ในการหมุนเวียนในกิจการ และเพื่อรองรับการขยายงานในอนาคต โดยเฉพาะในโครงการที่จะทำให้เกิดห่วงโซ่อุปทานขึ้น สื่อมวลชนสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โทร. 0-2934-7344-8

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ