กรุงเทพฯ--17 ก.ค.--IR network
“ดร.ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ” หัวเรือใหญ่ บล.คันทรี่ กรุ๊ป หรือ CGS ปลื้มผลงานครึ่งปีแรกเข้าเป้า มั่นใจปี2555 นี้สามารถปั๊มกำไรโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่าปีก่อน แม้เปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น กดค่าเฉลี่ยค่าคอมม์ลงมาอยู่แค่ 0.16-0.18% แต่บริษัทได้เตรียมความพร้อมทั้งด้านฐานเงินทุน บุคคลากร และระบบการซื้อขาย เอาไว้มัดใจลูกค้า เพื่อรักษามาร์เก็ตแชร์อันดับ 1 ใน 5 อย่างเหนียวแน่น เผยส่วนแบ่งการตลาดขยับจาก 5.13% ในปี 2554 มาเป็น 5.43% ของครึ่งปีแรก ยังคงผันผวนจากวิกฤตเศรษฐกิจยุโรป ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีที่ 1,150-1,250 จุด
ดร.ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CGS) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ โดยส่วนแบ่งทางการตลาด หรือ มาร์เก็ตแชร์ของ CGS ได้ปรับตัวขึ้นจาก 5.13% ในปี 2554 เป็น 5.43% ของครึ่งปีแรก ทำให้บริษัทฯ ขยับขึ้นเป็นบริษัทหลักทรัพย์ หรือ โบรกเกอร์ ที่มีมาร์เก็ตแชร์อยู่ในอันดับที่ 5
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่า จะมีอัตราการขยายตัวที่ดีต่อเนื่องจากปี 2554 ถึงแม้ว่าในปีนี้จะเป็นปีแรกของการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ หรือคอมมิชชั่น อย่างเต็มรูปแบบ ส่งผลทำให้ค่าคอมมิชชั่นเฉลี่ยของทั้งระบบลดลงมาที่ 0.16 -0.18% ซึ่งลดลงเล็กน้อย และมีการแข่งขันช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในส่วนของรายได้จากค่าคอมมิชชั่นของ CGS ลดลงเล็กน้อย โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.15% แต่ในส่วนของปริมาณการซื้อขายถือว่ามีเพิ่มมากขึ้น ทั้งในส่วนหลักทรัพย์และอนุพันธ์
อย่างไรก็ตาม CGS ได้ตระหนักถึงความเสี่ยงดังกล่าว และได้เตรียมความพร้อมเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันเมื่อมีการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น ทั้งในเชิงความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน จากการเพิ่มทุนของบริษัทฯ และกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ เช่น การสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่การตลาด เพื่อรองรับปริมาณการซื้อขายและตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างสูงสุด รวมถึงการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาระบบการส่งคำสั่งซื้อขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ที่รับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงและแม่นยำ ระบบสนับสนุนเจ้าหน้าที่การตลาดและนักลงทุน อาทิ ระบบ Smart Customer เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการเปิดบัญชีสำหรับลูกค้า รวมทั้งเน้นการให้บริการ One stop service และเน้นการให้บริการตอบคำถามแบบ Real-time โดยเชื่อมต่อลูกค้ากับนักวิเคราะห์ และ เจ้าหน้าที่การตลาดโดยตรงผ่านระบบ Chat Room เพื่อการให้คำปรึกษาที่รวดเร็ว
"ในปี 2555 นี้ CGS ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ที่ 6% เพิ่มจากปี 2554 ซึ่งอยู่ที่ 5% โดยบริษัทฯยังให้ความสำคัญในการขยายฐานนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน ด้วยการปรับปรุงบริการให้สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้มากที่สุด ดังนั้นจึงเชื่อว่าเป้าหมายการเพิ่มบัญชีลูกค้าอีก 20% จากปัจจุบัน 55,000 บัญชี คงทำได้อย่างสบายๆ นอกจากนี้ เรายังมีเป้าหมายที่จะรักษามาร์เก็ตแชร์ 1 ใน 5 อันดับแรกของธุรกิจหลักทรัพย์ไว้ให้ได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย" ดร.ประสิทธิ์กล่าว
โดยในปีนี้รายได้ส่วนใหญ่ของ CGS ยังคงมาจากค่านายหน้า นอกจากนี้ ยังมีรายได้ที่เกิดจากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ กำไรจากเงินลงทุน กำไรจากตราสารอนุพันธ์ รายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผล และรายได้จากดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ในช่วงครึ่งปีหลัง CGS ได้เตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ โดยเฉพาะในส่วนของผลิตภัณฑ์และบริการที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้บริการได้แบบครบวงจร หรือ One Stop Service ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังมุ่งเน้นในเรื่องของการให้บริการลูกค้าทั้งในด้านงานวิจัยหลักทรัพย์ และพัฒนางานด้านระบบไอที ให้มีความรวดเร็วและทันสมัยควบคู่ไปกับข้อมูลด้านปัจจัยพื้นฐานและด้านเทคนิเคิล รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของทีมมาร์เก็ตติ้งไปพร้อมๆกันด้วย และเพื่อผลักดันองค์กรให้มีความแข็งแกร่ง บริษัทฯ จึงได้ให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนให้ลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการนำระบบเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อให้เกิดความสะดวกในการทำงาน และช่วยลดต้นทุนได้มากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯ โดยในปี 2555 บริษัทฯ ได้ดำเนินการเปิดสาขาใหม่คือ สาขาปาร์คเวนเชอร์ ทำให้ปัจจุบัน บริษัทฯ มีสาขาให้บริการ 50 สาขาทั่วประเทศ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CGS ยังได้ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงหลังของปี 2555 ว่ายังคงมีแนวโน้มเคลื่อนไหวอย่างผันผวน โดยปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากที่สุดคือ ปัญหาเศรษฐกิจในยุโรป ได้แก่ การแก้ปัญหาหนี้ของสเปน และอิตาลี ที่ยังคงเป็นประเด็นสำคัญ ที่กระทบต่อการลงทุน เนื่องจากทั้งสองประเทศมีหนี้ในระดับสูง และหากต้องชะลอการชำระหนี้ให้แก่ประเทศเจ้าหนี้ จะทำให้เกิดปัญหาตามมา ได้แก่ เจ้าหนี้ต้องแบกภาระหนี้ที่ไม่ได้รับการชำระกลายเป็นหนี้เสียที่ต้องตั้งสำรองเพิ่ม และทำให้ยุโรปเกิดปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจมากขึ้นไปอีก โดยอาจทำให้ GDP ของกลุ่มยูโรติดลบได้ จากปัจจุบันที่คาดว่าจะขยายตัวต่ำกว่า 1% ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ จะทำให้ตลาดหุ้นผันผวนมากในครึ่งปีหลังและดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจลดลงแตะระดับต่ำกว่า 1,100 จุด แต่ถ้าไม่เกิดในขั้นรุนแรง ตลาดหุ้นจะแกว่งตัวระหว่าง 1,150-1,250 จุด
ส่วนปัญหาการเมืองในประเทศ หากเกิดความไม่สงบ คาดว่าจะทำให้นักลงทุนต่างชาติเบื่อการลงทุนในเมืองไทย และลดน้ำหนักได้ ซึ่งจะกดดัน SET ให้ปรับตัวลงต่ำกว่า 1,100 จุดได้ แต่ถ้าการเมืองสงบ คาดว่า SET น่าจะรักษาระดับเหนือ 1,200 จุดได้ ภายใต้ข้อแม้ว่าเหตุการณ์ในยุโรปไม่รุนแรง
กลยุทธ์การลงทุน CGS แนะนำ "ลงซื้อ ขึ้นขาย" โดยการลงทุนในครึ่งปีหลัง เน้นไปยังหุ้นที่มีอัตราการขยายตัวของกำไรโดดเด่น และราคายังต่ำกว่าพื้นฐาน ได้แก่กลุ่มอาหาร เช่น CPF กลุ่มอสังหาฯ ที่ได้รับปัจจัยบวกจากภาวะดอกเบี้ยต่ำ เช่น PRIN, SIRI, LH และ AP กลุ่มยานยนต์ ได้แก่ STANLY, SAT และ IHL กลุ่มธนาคารได้แก่ BBL และ KBANK ส่วนกลุ่มพลังงานแนะนำสะสม BANPU เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงไปมาก