กรุงเทพฯ--18 ก.ค.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์
ม.อ. เผยตัวเลขการมีงานทำของบัณฑิตปีการศึกษา 2553 มีงานทำแล้วกว่า 83% ส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในภาคเอกชนเขตภาคใต้ ระบุบัณฑิตจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะการแพทย์แผนไทย คณะทรัพยากรธรรมชาติ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คณะเศรษฐศาสตร์ มีอัตราได้งานทำเพิ่มสูงขึ้นกว่า 10% ขณะที่บัณฑิตคณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ และคณะนิติศาสตร์แชมป์รับเงินเดือนสูงสุด
รศ.ดร.ชูศักดิ์ ลิ่มสกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) เปิดเผยถึงอัตราการได้งานทำของบัณฑิต ม.อ. ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอกประจำปีการศึกษา 2553 ที่สำเร็จการศึกษาในเดือนมีนาคม 2554 พบว่า 1 ปีหลังจบการศึกษา มีผู้ทำงานแล้ว 5,392 คนหรือคิดเป็น 83% จากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งสิ้น 7,108 คน และยังไม่ได้ทำงาน 1,108 คน คิดเป็น 17% โดยไม่นับรวมกับกลุ่มบัณฑิตที่ศึกษาต่ออีก 608 คน
ส่วนบัณฑิตที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี มีงานทำแล้ว 4,422 คน หรือคิดเป็น 80.8% ยังไม่ได้ทำงาน 1,049 คนคิดเป็น 19.2% และมีผู้ศึกษาต่อจำนวน 558 คน โดยคณะในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพมีอัตราได้งานทำ 100% รองลงมา ได้แก่ คณะการแพทย์แผนไทย ที่ได้งาน 97.2% อย่างไรก็ตาม หากไม่นับรวมสองคณะดังกล่าวจะพบว่า มีคณะที่บัณฑิตได้งานเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% รวมทั้งสิ้น 5 คณะ ได้แก่ บัณฑิตคณะศิลปกรรมศาสตร์ ได้งานเพิ่มขึ้น 39.2% คณะการแพทย์แผนไทย เพิ่มขึ้น 14.7% คณะทรัพยากรธรรมชาติ 14.2% คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี 14% และคณะเศรษฐศาสตร์ 12.2%
สำหรับบัณฑิตที่ได้งานทำนั้น ส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในภูมิลำเนาภาคใต้จำนวน 4,140 คน คิดเป็น 93.6% รองลงมาได้แก่ กรุงเทพฯ คิดเป็น 10.6% และภาคอื่นๆ คิดเป็น 7.6% เมื่อคิดเฉพาะบัณฑิตที่ทำงานในภาคใต้จะพบว่า บัณฑิตเลือกทำงานในจังหวัดสงขลากว่า 38.4% และทำงานในภูเก็ต 16.6%
ทั้งนี้ จากแบบสอบถามยังพบว่า บัณฑิตส่วนใหญ่เลือกทำงานเป็นพนักงานหรือลูกจ้างเอกชนมากกว่าประเภทอื่นๆ หากไม่นับบัณฑิตจากคณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ที่ได้เงินเดือนสูงกว่าคณะอื่นๆ แล้ว บัณฑิตจะมีเงินเดือนเฉลี่ย 12,933 บาท และพบว่าบัณฑิตคณะนิติศาสตร์ ได้รับเงินเดือนสูงกว่าคณะอื่นๆ
ขณะที่มหาบัณฑิตในระดับปริญญาโท ได้งานทำแล้ว 758 คน คิดเป็น 93.1% โดยส่วนใหญ่ทำงานในภาคราชการ คิดเป็น 64.5% และระดับปริญญาเอก มีผู้ตอบแบบสอบถาม 47 คน พบว่า มีงานทำแล้ว 97.8% โดยส่วนใหญ่ทำงานเป็นข้าราชการหรือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวน 43 คน ที่เหลือทำงานเป็นพนักงานบริษัท หรือองค์กรธุรกิจเอกชนและอื่นๆ