‘ทีวี ไดเร็ค’ คาดเข้าซื้อขายในตลาดเอ็ม เอ ไอ ไตรมาส 3 นี้ หลัง ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่งเสนอขายหุ้น 57.92 ล้านหุ้น

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday July 18, 2012 10:55 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--18 ก.ค.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่งสำหรับการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนของ บมจ.ทีวี ไดเร็ค เตรียมเสนอขาย 57.92 ล้านหุ้น โดยมี บล. ฟินันเซีย ไซรัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน คาดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) (“TVD”) ผู้นำในธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านช่องทางการตลาดที่หลากหลาย เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้น บมจ.ทีวี ไดเร็ค ให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 57.92 ล้านหุ้นนั้น ขณะนี้สำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งไฟลิ่งแล้ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำหุ้น TVD เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้ภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ทั้งนี้ บมจ.ทีวี ไดเร็ค มีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 188 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 376 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 159.04 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 318.08 ล้านหุ้น โดยบริษัทฯ จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชน (IPO) จำนวน 57.92 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 15.40 ของทุนชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ แบ่งเป็นการเสนอขายให้แก่ประชาชนจำนวน 52 ล้านหุ้น และเสนอขายให้แก่กรรมการและพนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยจำนวน 5.92 ล้านหุ้น โดยบริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ไปใช้ลงทุนในบริษัทย่อย และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ ด้าน นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ ประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านช่องทางการตลาดหลากหลายช่องทาง (Mutichannel Marketing) เพื่อให้สินค้าและบริการของบริษัทฯ สร้างประสบการณ์ที่ประทับใจแก่ลูกค้าภายใต้แนวคิด “Entertaining People with Information” โดยบริษัทฯ จำหน่ายสินค้าที่มีจำนวนรายการรวมมากกว่า 1,500 รายการ รวมทั้งให้บริการผ่านช่องทางการตลาดต่างๆ ประกอบด้วย การจำหน่ายสินค้าและบริการโดยใช้การตลาดแบบตรง ด้วยการสื่อสารข้อมูลเสนอขายสินค้าและบริการโดยตรงต่อผู้บริโภคผ่านโทรทัศน์ภาคปกติหรือฟรีทีวี โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เคเบิลทีวี ผ่านสื่อสิงพิมพ์ ศูนย์บริการทางโทรศัพท์และลูกค้าสัมพันธ์ทางโทรศัพท์ (Call Center) รวมถึงผ่านระบบโทรศัพท์แบบโทรออกหรือ Outbound Call Center ระบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ (E-commerce) รวมทั้งบริษัทฯ มีการจำหน่ายสินค้าแบบขายตรง (Direct Sale) ผ่านตัวแทนจำหน่าย “Sarah Direct”) ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ของบริษัทฯ ที่เริ่มดำเนินการเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 นอกจากนี้ ยังจำหน่ายสินค้าแบบขายปลีกผ่านร้านค้าปลีกของบริษัทฯ คือ TV Direct Showcase โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2555 บริษัทฯ มีร้าน TV Direct Showcase จำนวน 66 แห่ง ตั้งอยู่ในแหล่งชุมชน ห้างสรรพสินค้าและศูนย์ค้าปลีกสมัยใหม่หรือโมเดิร์นเทรด รวมทั้งยังจำหน่ายสินค้าแบบขายส่งแก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนให้บริการรับจ้างผลิตสื่อโฆษณาและจัดหาเวลาโฆษณาให้แก่ลูกค้า รับจัดกิจกรรมทางการตลาดและรับจัดคอนเสิร์ต “นอกจากตลาดในประเทศไทยแล้ว เรายังมองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจการตลาดแบบตรงไปยังตลาดต่างประเทศในแถบอินโดไชน่าและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในช่วงต้นปี 2554 ที่ผ่านมา เราได้เข้าถือหุ้นในบริษัท ทีวีไดเร็ค อินโดไชน่า จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทประกอบธุรกิจลงทุน (Holding) ในสัดส่วน 99.99% และ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2555 บริษัท ทีวีไดเร็ค อินโดไชน่า จำกัด มีเงินลงทุนในบริษัทย่อย 3 แห่ง ประกอบด้วย Direct Response Television Co., Ltd.ซึ่งอยู่ในประเทศกัมพูชาในสัดส่วน 100% TV Direct Lao Co.,Ltd.ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศลาว ในสัดส่วน 95% และ TV Direct (Malaysia) Sdn. Bhd. ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศมาเลเซีย ในสัดส่วน 65% โดยบริษัทย่อยดังกล่าวประกอบธุรกิจการตลาดแบบตรง” นายทรงพลกล่าว ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทีวี ไดเร็ค กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้ TVDมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในธุรกิจการจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านช่องทางการตลาดที่หลากหลาย รวมถึงมีเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจการตลาดแบบตรงไปในประเทศต่างๆ ได้แก่ เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซียพม่า ฟิลิปปินส์ และบรูไน ขณะเดียวกัน ยังจะเดินหน้าขยายการประกอบธุรกิจขายปลีกผ่านร้านค้าปลีก TV Direct Showcase ทั้งในประเทศไทย รวมถึงใน เวียดนาม สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ในส่วนของผลประกอบการของบริษัทฯ ก็สะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้รวม เพิ่มขึ้นจาก 959.30 ล้านบาท ในปี 2552 เป็น 1,430.67 ล้านบาท ในปี 2553 และเพิ่มเป็น 1,905.99 ล้านบาท ในปี 2554 คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 49 และร้อยละ 33 ตามลำดับ โดยมีกำไรสุทธิ 0.30 ล้านบาท, 34.88 ล้านบาท และ 35.44 ล้านบาท ตามลำดับ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ