กรุงเทพฯ--20 ก.ค.--PRdd
นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย รองกรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมเสนอขายรูปแบบกองทุนต่างประเทศ จำนวน 2 กองทุนได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอล บอนด์ SCB GLOBAL BOND FUND (SCBGLOB) และ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอล สตราทีจิก อินเวสเมนท์ SCB GLOBAL STRATEGIC INVESTMENT (SCBGSIF) มูลค่าโครงการรวม 4,000 ล้านบาท เริ่มเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 23-27 กรกฎาคม 2555 ด้วยเงินลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท
ทั้งนี้กองทุน SCBGLOB มีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว(Feeder Fund) คือ กองทุน Wellington Global Bond Portfolio จัดตั้งขึ้นในปี 2542 ปัจจุบันมีขนาดกองทุนอยู่ที่ 35,000 ล้านบาท บริหารจัดการโดย Wellington Management ซึ่งเป็นที่ปรึกษาการลงทุนที่ได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่กว่า 2,000 ราย ในกว่า 50 ประเทศ โดยมีนโยบายลงทุนเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เพื่อหาผลตอบแทนในระยะยาว โดยจะลงทุนส่วนใหญ่ในตราสารหนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนของทุกประเทศทั่วโลก และในบางกรณีอาจมีการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งจุดเด่นของกองทุนเป็นการกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีคุณภาพ จากหลากหลายประเทศทั่วโลก ซึ่ง ณ ปัจจุบันค่าเฉลี่ยอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ที่กองทุนหลักลงทุนอยู่นั้นอยู่ที่ AA-
ส่วนกองทุน SCBGSIF มีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) คือ กองทุน PIMCO Global Investment Grade Credit จัดตั้งขึ้นในปี 2551 มีขนาดกองทุนอยู่ที่ 529,200 ล้านบาท บริหารจัดการโดย PIMCO ซึ่งเป็นผู้ลงทุนในตราสารหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีนโยบายลงทุนเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนหลักมีนโยบายลงทุนอย่างน้อย 2 ใน 3 ของสินทรัพย์ทั้งหมดในตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารและ/หรือผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ โดยผู้ออกตราสารแต่ละรายเป็นบริษัทที่มีสำนักงานสาขาหรือประกอบธุรกิจอยู่ใน 3 ประเทศเป็นอย่างน้อย จุดเด่นของกองทุนเป็นการกระจายการลงทุน ด้วยการลงทุนในตราสารหนี้ที่หลากหลายทั่วโลก โดยเน้นการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนเป็นหลัก ทำให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น เนื่องจากโดยทั่วไปตราสารหนี้ภาคเอกชนนั้นจะให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล
นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวถึงจุดเด่นของทั้งสองกองทุนว่า นอกจากจะมีการกระจายการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพที่หลากหลายทั่วโลกแล้ว กองทุนดังกล่าวยังมีการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินบาท ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนในต่างประเทศตลอดเวลา ตลอดจนมีสภาพคล่องสูงซื้อขายได้ทุกวันทำการ
สำหรับผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี พบว่ากองทุน Wellington Global Bond Portfolio มีผลตอบแทนเฉลี่ยจากการลงทุนจริงในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐต่อปีอยู่ที่ 3.85% และเมื่อปรับด้วยต้นทุนป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินบาท จะอยู่ที่ 6.57% ต่อปี ส่วนกองทุน PIMCO Global Investment Grade Credit มีผลตอบแทนเฉลี่ยจากการลงทุนจริงในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐต่อปีอยู่ที่ 5.82% และเมื่อปรับด้วยต้นทุนป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินบาท จะอยู่ที่ 8.62% ต่อปี
“"กองทุนที่เสนอขายครั้งนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการนำเงินไปลงทุนต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยงและสามารถยอมรับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องจากกับการลงทุนในสินทรัพย์ที่กองทุนไปลงทุนในต่างประเทศได้ และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนได้" นายณรงค์ศักดิ์กล่าว
สำหรับปัจจัยบวกที่มีผลต่อกองทุนในขณะนี้คือการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น จากปัจจัยอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ การขาดดุลบัญชีการคลัง/บัญชีเดินสะพัด ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ GDP โลก ในปี 2555 อยู่ที่ประมาณ 2.5% ปี 2556 ประมาณ 3.0% และ 2557 ประมาณ 3.3% นอกจากนี้แนวโน้มผลประกอบการของธุรกิจขยายตัวต่อเนื่อง เป็นผลดีทำให้ส่วนต่างราคา (Credit spread) ต่ำลง รวมถึงการที่ธนาคารกลางยุโรป ECB เข้าช่วยเหลือสถาบันการเงินที่มีปัญหาในยุโรป ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง ตลอดจนอัตราดอกเบี้ยในประเทศพัฒนาแล้วมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ SCBAM Call Center โทร.02-777-7777 กด 0 กด 6