กรุงเทพฯ--21 ก.ค.--
เด็กไทยในเมืองเสี่ยงสูงต่อการด้อยพัฒนาการทางกายและสมองจากการบริโภคอาหารไม่สมดุล ทำให้ขาดวิตามินและเกลือแร่ แต่ได้รับไขมันและคาร์โบไฮเดรตเกิน นักวิชาการแนะคุณพ่อคุณแม่เร่งปรับพฤติกรรมการบริโภคของลูก เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนก่อนสายเกินแก้
ดร. ภญ. มาลิน จุลศิริ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ คณะเภสัชกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่าปัญหาภาวะโภชนาการในเด็กวัยซนกำลังน่าเป็นห่วง เพราะวิถีชีวิตที่เร่งรีบทำให้หลายครอบครัวต้องซื้ออาหารจานด่วนซึ่งส่วนใหญ่ขาดความสมดลทางโภชนาการให้เด็กบริโภคอยู่ประจำ อีกทั้งเด็กจำนวนไม่น้อยนิยมบริโภคขนมและดื่มน้ำอัดลมจำติดเป็นนิสัย จากสถิติของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่าเด็กไทยใช้เงินซื้อขนมเฉลี่ยคนละ 9,800 บาทต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาที่จ่ายเพียงคนละ 3,024 คนต่อปี
พฤติกรรมการการบริโภคที่ไม่ถูกต้อง มักเริ่มตั้งแต่วัยก่อนเรียนคือ 4-5 ขวบ พอถึง 6 ขวบเด็กจะติดเป็นนิสัย และยิ่งโตขึ้นคุณพ่อคุณแม่ยิ่งมีความยากลำบากในการดูแลเด็กเหล่านี้ ทำให้บ่อยครั้งเด็กเกิดปัญหาขาดสารอาหารที่จำเป็น ขณะเดียวกันเกิดปัญหาของโรคอ้วน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อุบัติการณ์โรคอ้วนในเด็กไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและตามสถิติดูเหมือนเร็วที่สุดในโลก เคยมีรายงานว่าเด็กก่อนวัยเรียนอ้วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.8 เป็น 7.9 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 36 และเด็กวัยเรียนอายุระหว่าง 6-13 ปี อ้วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.8 เป็น 6.7 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.5 ภายในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่าน ๆ มา ทั้งยังพบว่าเด็กไทยมีเชาว์ปัญญาโดยเฉลี่ยต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยมาตรฐานที่ระดับ 90 มีมากถึง 1 ใน 4 หรือร้อยละ 25
“การเกิดปัญหาภาวะโภชนาการในเด็ก นอกจากส่งผลต่อการพัฒนาการทางร่างกายและสติปัญญาของเด็กแล้ว ถ้าปล่อยให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นต่อเนื่องโดยไม่รีบแก้ไข จะส่งผลต่อสุขภาพของเด็กดังกล่าวเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ด้วย โดยจะเกิดปัญหาของโรคเรื้อรังง่ายขึ้น เช่น เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง ข้อเสื่อม เป็นต้น” ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. ภญ. มาลิน กล่าว
ปัญหาภาวะโภชนาการในเด็ก แก้ไขไม่ยาก เพียงแต่ปฏิบัติการด้วยวิธีการง่าย ๆ ดังนี้ ให้เด็กบริโภคอาหารที่เหมาะสมทุกวันโดยเฉพาะอาหารมื้อเช้า ให้บริโภคคอาหารที่มีคุณค่าและในปริมาณที่เพียงพอ ถ้าไม่แน่ใจว่าเด็กจะบริโภคอาหารได้อย่างสมดุลทั้งในด้านคุณค่าสารอาหารและปริมาณสารอาหาร การให้เด็กบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพิ่มเติม เป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้เด็กมีโอกาสได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการพัฒนาการของเขา
อาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุด เด็กจึงควรบริโภคอาหารทุกเช้า ในมื้ออาหารนี้ แนะนำให้เป็นอาหารที่บริโภคง่ายและมีสารอาหารครบถ้วน ถ้าไม่อยากวุ่นวายในการต้องเตรียมอาหารเช้า อาจเตรียมอาหารมื้อดังกล่าวในช่วงกลางคืนแล้วอุ่นในตอนเช้า เด็กที่ได้รับอาหารทุกเช้า จะสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งการเรียนได้เต็มที่ เพราะมีสารอาหารที่มีคุณค่าพร้อมหล่อเลี้ยงร่างกายและสมอง
“เพื่อให้เด็กเห็นความจำเป็นของอาหารมื้อเช้า คุณพ่อคุณแหรือผู้ปกครองต้องเป็นตัวอย่างที่ดีโดยการบริโภคอาหารเช้า ซึ่งควรเน้นผักผลไม้เหมือนของเด็ก ถ้าเป็นไปได้ ควรบริโภคพร้อมเด็ก เพื่อจะได้คอยสังเกตพฤติกรรม มีโอกาสคอยสอน และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน การทำเช่นนี้ ปัญหาการบริโภคอาหารของเด็กที่ต้องการสารอาหารจำเป็นจะลดลง” ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. ภญ. มาลิน กล่าว
นอกจากอาหารมื้อเช้า ในทุกมื้อควรมีสารอาหารสมดุลครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ “ในมื้อกลางวัน เด็กส่วนใหญ่บริโภคที่โรงเรียน ถ้าทางโรงเรียนเป็นคนจัดการดูแลอาหารมื้อนี้ ทางโรงเรียนควรให้ความร่วมมือในการจัดเตรียมทั้งชนิดและปริมาณที่เหมาะสมสำหรับเด็ก รวมทั้งควรดูแลให้เด็กบริโภคอาหารทุกชนิดให้หมด ซึ่งอาจต้องคอยสอนตักเตือนช่วยคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองทางอ้อมในด้านพฤติกรรมการบริโภคของเด็กด้วย”
ด้วยวิถีชีวิตที่เร่งรีบ รวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลให้เด็กมีปัญหาภาวะโภชนาการตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. ภญ. มาลิน แนะนำว่า “คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองอาจต้องพิจารณาให้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเป็นตัวช่วยในการแก้ไขปัญหาโภชนาการในเด็ก โดยควรพิจารณาผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นสำหรับเด็ก เช่น วิตามิน บีชนิดต่าง ๆ ธาตุเหล็ก ฯลฯ รวมทั้งมีกรดอะมิโนจำเป็น เช่น ไลซีน ฯลฯ เพื่อนำไปใช้เป็นองค์ประกอบในการสร้างโปรตีน นอกจากนี้ สารอาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรทที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำตาลหวานและไขมัน เช่น โอลิโกแซซคาไรด์ ฯลฯ ซึ่งถูกจัดเป็นใยอาหารชนิดละลายด้วย ยังมีประโยชน์ช่วยการขับถ่าย”
“รสชาติหวานอร่อย และกลิ่นน่ารับประทาน เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เด็กชอบไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่แตะลิ้นได้ ในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจึงมักให้มีสหวานและกลิ่นหอม ในส่วนนี้ คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองต้องดูว่าความหวานในผลิตภัณฑ์นั้นมาจากน้ำตาลหรือไม่ ถ้าใช่น่าจะพิจารณาให้ดี เพราะการบริโภคบ่อย ๆ อาจเกิดปัญหาจากน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ได้ เช่น เกิดเป็นกรดในน้ำลายและก่อปัญหาฟันผุในภายหลัง ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ โอลิโกแซซคาไรด์ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นสามารถให้ความหวาน แต่ไม่เกิดปัญหาแบบน้ำตาล สารอาหารชนิดนี้มีคุณสมบัติที่น่าสนใจคือ การเป็นพรีไบโอติกซึ่งจะไม่ถูกย่อยและดูดซึมในลำใส้เล็ก จึงไม่ก่อปัญหาการถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสม แต่จะลงไปที่ลำใส้ใหญ่ไปเป็นอาหารให้จุลินทร์ชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้ปริมาณจุลินทรีย์กลุ่มนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร อีกทั้งช่วยการขับถ่าย และเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมของร่างกายย” ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. ภญ. มาลินกล่าวเสริม
“ถ้าไม่เร่งปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ถูกต้องให้เด็กในวันนี้ ประเทศไทยอาจต้องรับมือกับภาวะประชากรที่ขาดสุขภาพดีในวันหน้า และทำให้ต้องสูญเสียทั้งคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของชาติในดารดูแลบุคคลเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้ ทั้งคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองรวมทั้งสังคมที่เกี่ยวข้องต้องช่วยการดูแลเด็กในวันนี้โดดยเฉพาะด้านอาหารการกินให้ดีที่สุด” ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. ภญ. มาลินกล่าวปิดท้าย