กรุงเทพฯ--23 ก.ค.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศให้อันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) ระยะยาวที่ ‘AA-(tha)’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ ‘F1+(tha)’ แก่ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KS โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
อันดับเครดิตของ KS สะท้อนถึงการถือหุ้นทั้งหมด การควบคุมการบริหารงาน และการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากธนาคารแม่ คือ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBank (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘AA(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสี่ของประเทศไทย นอกจากนี้ KS ได้ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินธุรกิจของ KBank โดย KS มีการวางแนวทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับธนาคารแม่ ทั้งในด้านกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ และนโยบายการบริหารความเสี่ยง รวมทั้งยังมีการใช้ชื่อของธนาคารแม่เป็นส่วนหนึ่งของบริษัท นอกจากนี้ธนาคารแม่ยังให้การสนับสนุนในด้านการดำเนินงาน เช่นการบริหารความเสี่ยง การใช้ทรัพยากรร่วมกัน และการแนะนำลูกค้า สำหรับการสนับสนุนด้านการเงินนั้นเป็นในรูปแบบของสินเชื่อประเภทต่างๆ เพื่อการดำเนินธุรกิจ
อันดับเครดิตของ KS อยู่ต่ำกว่าอันดับเครดิตของ KBank อยู่หนึ่งอันดับ ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองของฟิทช์ที่มองว่าระดับการสนับสนุนจาก KBank อาจลดลง หากธนาคารต้องเผชิญกับภาวะวิกฤติทางการเงินในอนาคต เนื่องจากเมื่อเทียบกับบริษัทในกลุ่มของ KBank ผลกำไรของ KS อยู่ในระดับที่ค่อนข้างน้อยและคิดเป็นสัดส่วนที่ต่ำ และ KS ยังมีขนาดที่ค่อนข้างเล็ก นอกจากนี้อันดับเครดิตที่ต่างกัน ยังสะท้อนถึงการที่ KS ยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาการสนับสนุนจาก KBank อย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านเงินทุนและการดำเนินธุรกิจ
อันดับเครดิตของ KS จะปรับเปลี่ยนไปในทิศทางเดียวกันกับอันดับเครดิตของ KBank เนื่องจากอันดับเครดิตของ KS ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสนับสนุนที่คาดว่าจะได้รับจากธนาคารแม่ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของอันดับเครดิตของ ?KBank จะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของ KS การลดลงของสัดส่วนการถือหุ้นของ KBank หรือระดับการให้การสนับสนุนแก่ KS อาจทำให้ความแตกต่างระหว่างอันดับเครดิตของ KS และ KBank เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่การปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของขนาดสินทรัพย์ของ KS รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของรายได้และสัดส่วนการทำกำไรเทียบกับกำไรของกลุ่ม อาจส่งผลให้ความแตกต่างระหว่างอันดับเครดิตของ KS และ KBank ปรับลดลง แต่อย่างไรก็ตามฟิทช์มองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้นในระยะปานกลางถึงระยะยาว
ผลการดำเนินงานของ KS ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่บริษัทได้ก่อตั้งขึ้นในปี 2548 โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งทางการตลาดและปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น ในปี 2554 KS มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิที่ 356 ล้านบาท และมีอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อสินทรัพย์รวมและอัตรากำไรสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 10.4% และ 25% ตามลำดับ KS น่าจะยังคงมีอัตรากำไรในระดับที่เหมาะสมในระยะปานกลาง เนื่องจากส่วนแบ่งการตลาดที่น่าจะเพิ่มขึ้นจากการที่ KS จะยังคงใช้ประโยชน์จากฐานลูกค้าและเครือข่ายของ KBank อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ KS ยังคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ บล. แมคคลอรี่ (ประเทศไทย) จำกัด (หรือ MACQ) โดยการร่วมมือกันทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นและการใช้ทรัพยากรและเครือข่ายธุรกิจร่วมกัน
ฟิทช์มองว่าความเสี่ยงในการระดมทุนและสภาพคล่องของ KS ยังคงอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจาก ณ สิ้นปี 2554 บริษัทไม่มีหนี้สินที่เป็นเงินกู้ยืม และ KBank ได้อนุมัติวงเงินกู้ให้กับบริษัท ฟิทช์คาดว่าเงินกองทุนของ KS น่าจะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง การปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของผลประกอบการและการที่บริษัทไม่มีนโยบายการจ่ายเงินปันผล ส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 พันล้านบาท หรือ 64.5% ของสินทรัพย์ ณ สิ้นปี 2554
KS ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2548 โดยมี KBank เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด หลังจากที่การทำข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจระหว่าง KS และ MACQ แล้วเสร็จเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ส่วนแบ่งทางการตลาดรวมของ KS และ MACQ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ที่ 5.6% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555