กรุงเทพฯ--20 ก.ค.--วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิคเจอร์ส
ซินเดอเรลล่าเองยังไม่เคยรู้สึกแย่ขนาดนี้มาก่อนเลย ในภาพยนตร์เรื่อง A Cinderella Story — เรื่องราวของเทพนิยายคลาสสิคที่กลับตาละปัดแต่แฝงด้วยความร่าเริงสนุกสนานที่ถูกนำกลับมาทำให้เข้าสมัย - นักเรียนมัธยมปลาย แซม มอนโกเมอรี่ (ฮิลลารี่ ดัฟฟ์) อาศัยอยู่ด้วยการรับใช้แม่เลี้ยงที่หลงตัวเองอย่าง ฟีโอน่า (เจนนิเฟอร์ คูลลิดจ์) และสองน้องสาวตัวร้ายต่างมารดา ที่ปฏิบัติกับเธอเหมือนเธอเป็นเยี่ยงสาวใช้มากกว่าที่จะเป็นคนในครอบครัว
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะต้องเข้าเรียนที่ มหาวิทยาลัย พรินซ์ตันให้ได้ เธอได้พบว่า ชีวิตที่ถูกกดดันของเธอกลับน่าพิศวงและซับซ้อนมากขึ้นเมื่อเธอได้พบกับเจ้าชายของเธอทางอินเตอร์เนท แต่เมื่อเจ้าชายลึกลับที่เป็นบุพเพของเธอกลับกลายเป็นเพื่อนร่วมชั้น อย่าง ออสติน อเมส (แชด ไมเคิล เมอร์เรย์) ควอเตอร์แบคสุดฮ็อต แซมก็รีบดึงตัวเองกลับมาสู่ความเป็นจริง โดยทิ้งโทรศัพท์มือถือของเธอเอาไว้ก่อนที่นาฬิกาจะตีระฆังบอกเวลาเที่ยงคืน
ด้วยความกลัวว่าจะถูกปฏิเสธถ้าความจริงถูกเปิดเผย แซมหลบเลี่ยงความพยายามของออสตินที่จะค้นหาตัวตนของเจ้าหญิงของเขา แซมจะยอมให้ความหวาดกลัวดึงตัวเธอเอาไว้หรือเธอจะค้นพบความกล้าหาญที่จะเป็นตัวเองและเรียกร้องสิทธิ์ในชีวิตที่เธอต้องการมาตลอดนั้นคืนมา?
โอกาสที่เธอจะได้ “อยู่อย่างมีความสุขไปตลอดกาล” นั้นขึ้นอยู่กับมัน
บริษัท วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ จากผลงานสร้างของ คลิฟฟอร์ด โปรดักชั่น โดยร่วมงานกับ ดีแลน เซลเลอร์ส โปรดักชั่น : ฮิลลาลี่ ดัฟฟ์ ในภาพยนตร์เรื่อง A Cinderella Story นำแสดงโดย เจนนิเฟอร์ คูลลิดจ์ แชด ไมเคิล เมอร์เรย์ และ เรจิน่า คิง กำกับการแสดงโดย มาร์ค โรสแมน ภาพยนตร์เรื่อง A Cinderella Story เขียนโดย เลย์ ดันแลปและอำนวยการสร้างโดย คลิฟฟอร์ด เวอร์เบอร์ อิลลิซ่า กู๊ดแมน ฮันท์ โลวรี่ และ ดีแลน เซลเลอร์ส โดยมีมิเชล ราชมิล ปีเตอร์ กรีน และ คีธ จิกลีโอ เป็นผู้อำนวยการบริหาร และ ซูซาน ดัฟฟ์เป็นผู้ร่วมอำนวยการบริหาร ผู้กำกับภาพคือ แอนโธนี่ บี ริชมอนด์ เอเอสซี/บีเอสซี; ผู้ออกแบบฝ่ายศิลป์ คือ ชาล์ส บรีน และผู้ลำดับภาพคือ คาร่า ซิลเวอร์แมน A.C.E. เพลงประกอบภาพยนตร์โดย คริสตอฟ เบค อัลบั้มซาวนด์แทร็คโดยฮอลลีวู้ด เรคคอร์ดส
ภาพยนตร์เรื่อง A Cinderella Story จัดจำหน่ายทั่วโลกโดย วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ในกลุ่มบริษัท วอร์เนอร์ บราเดอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนท์
เรื่องของ ซินเดอเรลล่าในศตวรรษที่ 21
พวกเราคงจะจำเรื่องราวตั้งแต่เราเด็ก ๆ กันได้ สาวน้อยกำพร้า ซินเดอเรลล่าที่น่าสงสาร ทุก ๆ วันเธอโดนบังคับให้หิ้วน้ำจากบ่อเพื่อมากวาดและถูพื้นอันแสนสกปรกของบ้านที่แสนมืดทึบของแม่เลี้ยงใจร้าย ทุกวันเธอเฝ้าแต่ฝันถึงเจ้าชายรูปงามที่จะมาช่วยเธอให้พ้นจากชีวิตที่แสนเหนื่อยยากนี้เพื่อจะได้ไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในปราสาทเก่าแก่ของเขา งมงายอะไรอย่างนั้น
แถมยังมีนางฟ้าแม่ทูนหัวผู้ใจดีที่จะมาเสกผงวิเศษของนางฟ้า มีผลฟักทองที่เปลี่ยนเป็นรถม้าทองคำและยังฝูงหนูที่พูดได้นั่นอีก
เอาล่ะ... และนี่มันจะเกี่ยวกับชีวิตจริงได้ยังไงล่ะ?
แต่เดี๋ยวก่อน - จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้าหญิงผู้เคราะห์ร้ายของเราเป็นนักเรียนมัธยมปลายอย่าง แซม มอนโกเมอรี่และแทนที่เธอจะต้องตัดไม้เพื่อใส่เตาผิงให้กับครอบครัว เธอกลับต้องเก็บกวาดโต๊ะอาหารและถูกพื้นพรมน้ำมันให้กับแม่เลี้ยงไร้หัวใจ ที่มีแขกร่วมทานอาหารกว่า 50 คนหลังเลิกเรียนและยังต้องรับใช้พี่สาวต่างมารดาที่แสนจะหยาบคาย? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเธอไม่ได้มองหาเจ้าชายรูปงาม โดยตรง (ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะต่อต้านความคิดนั้นหรอกนะ) แต่มุ่งมั่นเรียนเพื่อสอบให้ผ่านและมีความฝันจะได้เรียนที่พริ๊นสตั้นและมีอนาคตที่ดีที่ ซานเฟอร์นานโด วัลเล่ย์ ? และจะเกิดอะไรอีกถ้าแทนที่จะเป็นรถฟักทองและฝูงหนูช่างพูด เธอกลับมีนางฟ้าแม่ทูนหัวที่ยอดเยี่ยม ไม่ไร้สาระ ซึ่งเป็นผู้ที่สนับสนุนให้ซินเดอเรลล่ายุคใหม่อย่างเธอได้ค้นพบพลังในตัวของเธอเองและได้เข้าใจถึงชีวิตที่ประหนึ่งเหมือนเทพนิยายเป็นอย่างไร?
ผู้อำนวยการสร้าง คริฟฟอร์ด เวอร์เบอร์ ผู้ซึ่งเป็นต้นคิดในการทำให้ความคิดของ “เรื่องซินเดอเรลล่าที่ฉลาด และร่วมสมัยซึ่งทำคล้ายคลึงกันเทพนิยายคลาสสิค” เป็นรูปเป็นร่างขึ้น โดยต้องเอาใจใส่กับเค้าโครงเรื่องเดิม ว่าจะต้องเป็น “จุดใหญ่ใจความของเรื่อง ซึ่งทั้งหมดแล้วคือ การทำสิ่งที่หวังให้เป็นความจริงภายใต้พลังในตัวเอง ในความหมายที่ว่ามันสัมพันธ์กันในปัจจุบันนี้เหมือนกับที่มันได้เกิดขึ้นมาก่อนแล้ว”
เพื่อไม่ให้สูญเสียส่วนที่เป็นเรื่องของเวลา ภาพยนตร์เรื่อง A Cinderella Story ได้แสดงให้เห็นเรื่องที่เกิดในโรงเรียนมัธยมที่อยู่นอกเมือง ซึ่งเป็นสถานที่ซึ่งวัยรุ่นส่วนใหญ่ต้องเริ่มฟันฝ่ากับอุปสรรคเพื่อให้ได้มาซึ่งสถานะภาพ ความซื่อสัตย์ และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันซึ่งเทพนิยายเรื่องซินเดอเรลล่าได้พยายามจะสื่อให้เห็น อย่ากลัวเพราะเกรงว่ามันจะออกไปในแนวน่าขนลุก เวอร์เบอร์ยืนยัน “ก่อนสิ่งใดไหนอื่น มันเป็นเรื่อง คอมเมดี้ ”
เวอร์เบอร์ ผู้ซึ่งอาชีพในวงการฮอลลิวู้ด รวมไปถึงตำแหน่ง ผู้บริหารการสร้างภาพยนตร์ให้กับทั้ง บริษัท วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิคเจอร์ และ บริษัท ทเวนตี้เซ็นจูรี่ ฟ๊อกซ์ ตลอดช่วงปี 1980 ถึง 1990 ได้ผ่านการทำงานจากภาพยนตร์หลากหลายเรื่อง อาทิภาพยนตร์เรื่อง Home Alone เรื่อง Grand Canyon เรื่อง Braveheart เรื่องTrainspotting และเรื่อง My Dog Skip แต่เขากลับค้นพบว่าตัวเองมีความสุขกับตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างจากภาพยนตร์เรื่อง A Cinderella Story “หลังจากผ่านการอยู่อีกด้านหนึ่งของรั้ว ผมไม่เคยได้มีโอกาสเกี่ยวข้องกับการสร้างภาพยนตร์ อย่างทุกขั้นตอนตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ” เขาเล่า ความเป็นธรรมชาติที่ดี “ผนวกกับความอดทนเข้มแข็ง ยืนหยัดกับสัญชาตญาณในตัวเอง นั้นคือคำบรรยายขอบข่ายของงานอำนวยการสร้าง” การที่ได้ร่วมทำงานกับเพื่อนเก่าอย่างผู้อำนวยการสร้าง ดีแลน แซลเล่อร์ส์นั้นถือเป็นการช่วยเขาอีกอย่างหนึ่ง “ความรู้ความชำนาญทำให้เขามีนั้นหาค่าไม่ได้เลย”
“เมื่อลูกสาวคนเล็กของผม (แฟนตัวยงของ ฮิลลารี่ ดัฟฟ์) เห็นดีและพอใจกับบทภาพยนตร์ ผมรู้แล้วว่าผมได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง” แซลเลอร์นั้นนอกจากจะเป็นผู้บริหารที่เปลี่ยนมาเป็นผู้อำนวยการสร้างแล้ว เขายังได้อำนวยการสร้าง ภาพยนตร์ยอดนิยมเรื่อง Cody Banks เมื่อบรรยายถึงภาพยนตร์เรื่อง A Cinderella Story เขาเล่าว่า “เนื้อเรื่อง ส่วนมากเกี่ยวกับโรงเรียนมัธยม ตัวแสดงส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นและเนื้อเรื่องเยี่ยมและวุ่นเล็กน้อยแต่ยังคงไว้ถึงความคลาสสิคของความรักซึ่งมันเป็นธรรมชาติของวัยของตัวแสดงและช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์เรื่อง You’ve Got Mail หรือภาพยนตร์ เรื่อง Romeo and Juliet มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้เห็นความเข้าใจที่ทวีขึ้นระหว่างคนสองคนที่มาจากคนละขั้วหรือว่าเข้าใจว่าพวกเขาแตกต่างจากคนอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง”
เวอร์เบอร์เลือกที่จะเขียนบทภาพยนตร์ขึ้นมาก่อน โดยเลย์ ดันแลปเขียนขึ้นจากการเล่าและเขากล่าวว่า “ทำให้เนื้อเรื่องและตัวแสดงกลับมาอยู่รวมกันด้วยความแม่นยำของเสียงและความรู้สึกของความเป็นพิเศษ โอกาสของความเป็นเรื่อง คอมเมดี้มันเกิดขึ้นในระหว่างหน้าที่เขียน”
“ใจฉันยังเป็นวัยรุ่นอยู่นะ” ดันแลปยอมรับ เธอเคยเป็นเด็กสาวจาก แคลิฟอร์เนีย วัลเล่ย์ และ นักศึกษาจาก ยู เอส ซี ซีเนม่า ตอนนี้เธอแต่งงานแล้วและกำลังเลี้ยงดูลูกชายของเธออยู่ที่ลอนดอน “ฉันคิดว่าคุณจะไม่มีวันสูญเสียความรู้สึกเหมือนเมื่อครั้งเรียนอยู่มัธยม มันน่าอัศจรรย์มากที่เวลาสี่ปีแห่งความทรงจำนั้นยังอยู่กับคุณตลอดเวลาที่ผ่านมา”
จากที่เวอร์เบอร์ จำได้ ตัวเขาและผู้กำกับการแสดง มาร์ค รอสแมน “ได้ทำการค้นคว้ากันมากมายก่อนที่จะทำการสร้าง พวกเราได้ไปที่โรงเรียนมัธยมหลายแห่งในย่านเดอะวัลเล่ย์ ทั้งโรงเรียนราษฎร์และโรงเรียนหลวงเพื่อที่จะได้พูดจากับพวกเด็ก ๆ เพราะเราอยากจะให้แน่ใจว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถจะสื่อให้ถึงพวกเขาได้ พวกเราสังเกตุดูว่าพวกเขาใส่ชุดอะไรกัน ดนตรีแบบไหนที่พวกเขาชอบฟัง และในขั้นตอนนั้นพวกเราต้องทำให้แน่ใจว่ามันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับแนวของหนัง — ที่คนอีกหลายคนใส่หน้ากากเข้าหากันและกัน มีอยู่จุดหนึ่งในส่วนบทของออสตินที่เขาเขียนข้อความถึงแซมอย่างบุคคลลึกลับเป็นบางอย่างเกี่ยวกับ โลกที่เต็มไปด้วยผู้คนที่แสแสร้งที่จะเป็นในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้เป็น ตัวเขาเป็น นักฟุตบอลยอดนิยมของโรงเรียน ซึ่งต้องตกอยู่ภายใต้ความกดดันจากครอบครัวและเพื่อน ๆ ร่วมโรงเรียนที่มุ่งหวังจะเห็นอนาคตของเขาแต่เขาอยากเลือกเดินทางอื่นมากกว่า”
“พวกเด็ก ๆ หลายคนที่พวกเราได้คุยด้วยส่วนใหญ่จะระมัดระวังว่าพวกเขาจะถูกมองและตัดสินว่าเป็นอย่างไร พวกเขาแต่งตัวอย่างไร พวกเขาอยู่แก๊งค์อะไร โดยทั่วไปแล้วพวกเขารู้สึกว่าจะต้องปกปิดชีวิตส่วนตัวของพวกเขาไว้จากการตัดสินของคนอื่น” รอสแมนผู้ให้ความคิดเรื่องการสวมหน้ากากเข้าหากันโดยตลอดทั้งเรื่องให้ข้อสังเกตุ “ออสติน สามารถที่จะเปิดเผยความเป็นตัวตนจริงของตัวเองได้เมื่อซ่อนอยู่เบื้องหลังการแชท ตัวแซมเองซึ่งแน่นอนอยู่แล้วได้เห็นเธอสวมหน้ากาก ในงานวันฮาโลวีน แต่หน้ากากที่เธอสวมอย่างจริงจังนั้นคือหน้ากากที่ซ่อนพลังอันแท้จริงในตัวของเธอ และความสวยงามของเธอจากทุกคนในทุก ๆ วัน เพื่อนของแซมคือ คาร์เตอร์นั้น มุ่งมั่นที่จะเป็นนักแสดงและแต่งตัวในหลายหลายรูปแบบเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะเป็นตัวของเขาเอง ถึงแม้จะเป็นแม่เลี้ยงของแซมเองก็ เถอะ เธอผู้ยึดติดกับการทำศัลยกรรมพลาสติคและยอมผ่านขั้นตอนหลายอย่างที่เธอมุ่งหวังที่จะทำให้เธอดูสวย”
สำหรับผู้อำนวยการสร้างอย่าง ฮันท์ โลว์รี่ ได้ผ่านเรื่องขั้นตอนการสร้างภาพยนตร์ ในหลายปีที่ผ่านมาเขาได้มีส่วนร่วมในการสร้างภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน ทั้งเรื่องคอมเมดี้และภาพยนตร์ดราม่า ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับวัยรุ่นที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แต่ได้ค้นพบตัวเอง และปรากฏออกมาในความเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งและรู้จักคิด (ภาพยนตร์อย่างเช่นเรื่อง A Walk to Remember เรื่องWhite Oleander เรื่อง Divine Secrets of the Ya-Ya Sisterhood และเรื่อง What a Girl Wants) “สิ่งหนึ่งที่ยอดเยี่ยมสำหรับชีวิตก็คือการที่เราได้เรียนรู้ชีวิตจากกันและกันและตัวของพวกเราเอง” เขากล่าว “ผมชอบที่จะเห็นผลสะท้อนในหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนที่การเดินทางสิ้นสุด และผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพอใจ”
โดยสะท้อนมาจากช่วงชีวิตในวัยรุ่นของตัวเขาเองและคำแนะนำจากตัวเองที่เขาอยากได้ยินถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อเขาอายุ 16 ปีได้ โลว์รี่กล่าวอย่างสุขุมว่า “มันดีขึ้นมาก”
“มีความคิดอยู่สองอย่างที่นำทางฉันในตอนเขียนบทหนัง” ดันแลปกล่าว “ข้อหนึ่งคือเชื่อมั่นในตัวเราเองโดยไม่ต้องไปมองหาเหตุผลอื่นและสองจงอย่ากลัวที่จะมีส่วนร่วมในชีวิต เราไม่ได้ถูกจำกัดขอบเขตจากการที่หน้าตาเราเป็นอย่างไรหรือว่าตัวเรามาจากไหนหรือว่าเรามีเงินมากเท่าไร”
ผู้อำนวยการสร้าง อีไลซ่า กู้ดแมน ผู้ซึ่งร่วมพัฒนาซีรีส์เรื่อง Moolah Beach ให้กับบริษัท ฟ๊อกซ์และแฟมิลี่ ชาแนล ซึ่งเป็นเรื่องกลุ่มวัยรุ่นหลายกลุ่มที่ต้องพบความท้าทายทางด้านความคิดและทางร่างกายเพื่อแข่งขันชิงรางวัลกัน “เกือบทุกโครงการที่ฉันได้มีโอกาสร่วมงานด้วยจะมีแนวที่เราจะต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตนั้นนั่นคือจะต้องก่อให้เกิดแรงบันดาลใจมีพลังและสร้างความบันเทิงให้กับพวกเด็ก ๆ อีกด้วย มันมีหลายแนวจากนิทานเรื่องซินเดอเรลล่าเดิม ๆ ที่เราจะสามารถนำมาเกี่ยวโยงกันได้ — ฉากของคนที่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างกับบทเรียนที่ว่าคนที่ช้าแต่มั่นคง ในที่สุดก็ชนะการแข่งขันและเกี่ยวกับที่เราจะต้องคงไว้ซึ่งความเป็นตัวตนจริงของเรา แต่ฉันเองเชื่อว่าในนิทานดั้งเดิมค่อนข้างเน้นไปทางที่เธอต้องได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าชายหนุ่มรูปงาม ตัวแซมเองแทนที่จะเป็นอย่างนั้นกลับมีส่วนในการผลักดันชีวิตของเธอเองและจริง ๆ แล้วเป็นคนทำให้เกิดแรงบันดาลใจให้กับออสติน”
“ในเรื่องของเรานั้น” รอสแมนกล่าว “ซินเดอเรลล่าของเราช่วยเหลือตัวเอง” รอสแมนผู้ซึ่งผ่านผลงานสร้างชื่ออย่างเรื่อง Lizzie Magure Show ซึ่งนำแสดงโดย ฮิลลารี่ ดัฟฟ์ และเนื่องมาจากการร่วมงานกับดัฟฟ์ในครั้งนั้นทำที่ให้เขาเป็นตัวเลือกแรกในการกำกับภาพยนตร์เรื่อง Cinderella และเขาเองก็ได้พิสูจน์ว่าเขาเป็นผู้ที่เหมาะกับงานนี้จากหลายอย่างด้วยกัน “เขาเป็นคนที่มีสัมผัสเรื่องนี้ได้อย่างแท้จริง” แซลล่ากล่าว “และตัวเขาเองก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมากในความเป็นไปได้ของแต่ละฉาก อย่างเช่น นั่นเป็นคำพูดหรือแบบอย่างที่วัยรุ่นสมัยนี้ใช้กันอยู่ไหม? พวกเขาจะรู้สึกอย่างไรในฉากนี้ ? เขามีสัญชาตญาณที่เยี่ยมมากที่เกี่ยวกับมันและจะทำอย่างไรที่จะให้นักแสดงรับรู้และมีภาพเกิดขึ้นในใจ”
ดัฟฟ์เห็นด้วย และกล่าวชมการที่รอสแมนมีความใส่ใจอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในรายละเอียดก่อนที่จะบอกเล่าถึงความรู้สึกยกย่องที่มีมานานต่อผู้กำกับการแสดงด้วยคำสามคำแต่เต็มไปด้วยความหมายว่า “เขายอดเยี่ยม”
ส่วนผสมที่สำคัญที่สุดในงานคิดสร้างสรรค์นั้นแน่นอนว่า ฮิลลารี่ ดัฟฟ์ ซึ่งใช้เวลาร่วมงานส่วนใหญ่กับโครงการนี้ เวอร์เบอร์ เล่าให้ฟังอย่างใจจดจ่อว่า “เป็นสายฟ้าในขวดแก้ว”
ดาราสาวที่เปี่ยมไปด้วยพลัง ผู้ซึ่งได้เริ่มเข้าสู่วงการตั้งแต่อายุ 6 ขวบในการออกทัวร์บัลเล่ย์ BalletMet Columbus ของ The Nutcracker และในปัจจุบันเธออายุ 16 ปี โดยมีผลงานทั้งทางด้านภาพยนตร์และทางโทรทัศน์ และพัฒนาฝีมืออย่างรวดเร็วในวงการเพลง และคอนเสิรต์ นั้นค่อนข้างทึ่งกับความสมัยใหม่ของภาพยนตร์เรื่อง A Cinderella Story
เธอเองหลงรักนิทานเรื่องนี้เมื่อครั้งเป็นเด็ก ดัฟฟ์มีความเชื่อว่านิยายดั้งเดิมนั้นจะมีความหมายพิเศษให้กับจินตนาการของคนรุ่นใหม่ในขณะที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะสื่อความหมายให้กับกลุ่มคนที่สมัยใหม่กว่า “มันจะแสดงให้เห็นว่าผู้คนทั้งหลายนั้นผ่านชีวิตช่วงมัธยมกันอย่างไร มันเป็นเหมือนเรื่องตลกแต่มันก็สำคัญมากด้วย” เธอกล่าว “มันจะเป็นกลุ่มยอดนิยมและยังแบ่งเป็นหลายก๊วนและยังมีอีกหลายต่อหลายคนพยายามจะเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ได้เป็นแต่ไม่มีความเป็นอิสระที่จะเป็นตัวของตัวเอง มีหลายอย่างเริ่มซับซ้อนและบางทีพวกเขาก็ติดกับหน้าฉากหรือสิ่งที่ผู้คนตราหน้าที่จำกัดพวกเขา ฉันหวังว่าพวกเด็กที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้จะรู้ได้ถึงความหมายที่พยายามสื่อว่าพวกเขาไม่ได้โดดเดี่ยวและเรื่องแบบนี้มันเกิดได้กับทุกคน ”
ผู้แสดงสำหรับ: เจ้าหญิงหนึ่งคนที่ไม่อวดดีและเจ้าชายหนึ่งคนที่เป็นคนดีแต่สับสน รวมถึงแม่เลี้ยงใจร้าย และลูกสาวที่น่ารังเกียจของเธอและยังมีนางฟ้าแม่ทูนหัวที่ยอดเยี่ยม
เมื่อได้อ่านเรื่องนี้ครั้งแรก ฮิลลารี่ ดัฟฟ์ เข้าใจได้เลยว่าเธอมีส่วนเหมือนกับความเป็นแซมเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและนั่นทำให้เธอเกิดความสนใจในบทนี้ “ฉันไม่มีอะไรเหมือนแซมเลย” เธอเล่า “ฉันโชคดีมาตลอด ฉันเป็นคนมีความสุข ไม่เคยแพ้ใคร และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ฉันกับเพื่อน ๆ สนิทกันมาก ในขณะที่แซมไม่ค่อยมีเพื่อนมากเท่าไรนักและในบางครั้งเธอก็รู้สึกโดดเดี่ยวจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับเธอ ในขณะที่เธอต้องดิ้นรนกับบ้านที่หาความสุขไม่ได้และยังแม่เลี้ยงที่ไม่เคยช่วยเหลือ ส่วนตัวฉันและแม่ของฉันเราเข้ากันได้เป็นอย่างดี พวกเราเป็นเหมือนเพื่อนที่ดีที่สุด ซื่อสัตย์อย่างที่สุดต่อกันและกัน มันเป็นสัมพันธภาพที่ดีอย่างมาก แซมไม่มีอะไรที่เป็นอย่างนั้นเอาเลยเพราะงั้นเธอถึงเป็นคนอ้างว้างและไม่มั่นใจ”
“มีบางช่วงเวลาเหมือนกันในตอนที่เราถ่ายทำ ที่ฉันต้องถามตัวเองว่า แซมจะทำอย่างไรในสถานการณ์อย่างนี้ เธอจะพูดว่าอย่างไร เพราะทุกคนจัดการกับอารมณ์ของตนแตกต่างกัน”
โดยได้พิจารณาแล้วว่านักร้องนักแสดงที่มีชื่อเสียงอย่างเธอนั้นอายุเพียง 10 ขวบในตอนที่เรื่องนี้ได้ถูกคิดขึ้นมันเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญกับทุกคนที่เกี่ยวข้องว่าเธอเป็นคนที่เหมาะสมจะรับบทของแซมเมื่อตอนที่มีการคัดเลือกตัวแสดงภาพยนตร์เรื่อง A Cinderella Story “มันใช้เวลาค่อนข้างนานในการที่จะสร้างจากความคิดมาเป็นภาพยนตร์ ” กู้ดแมนบอก “และในที่สุด ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถูกสร้างมาเพื่อฮิลลาลี่ และต้องขอบคุณกับจังหวะเวลาที่พอดีมันเห็นผลจริง ๆ”
ในขณะที่รายละเอียดและความท้าทายส่วนตัวของชีวิตในวัยเด็กนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่ดัฟฟ์จะแลกเปลี่ยนความเป็นแซมได้คือจิตวิญญาณของความกลับคืนมาสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็วอย่างปฏิเสธไม่ได้ซึ่งแสดงออกมาต่อบรรดาแฟนผองเพื่อนและผู้ร่วมงานเหมือน ๆ กัน “เธอได้แผ่รัศมี การตัดสินใจ จุดประกาย และ มีกำลังใจเหมือนกับแซม” ลอว์รี่บอก “และในเวลาเดียวกันนั้นเอง เธอจะทำให้คุณรู้สึกเหมือนกับว่าคุณคุ้นเคยกับเธอ และเมื่อได้เห็นเธอ เธอจะทำให้คุณรู้สึกเหมือนว่าคุณรู้จักกับเธอและคุณกำลังคุยกับเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ”
รอสแมนชี้ให้เห็นถึงความสามารถของดัฟฟ์ที่เชื่อมโยงกับแฟน ๆ ได้อย่างเหมาะเจาะและเติมเต็มความเป็นสากลของเรื่องนี้อย่างเหมาะสม “ซินเดอเรลล่าพูดถึงความรู้สึกของมนุษย์ปุถุชน ความขัดแย้งและความเป็นเรื่องละคร ความหวังและคำอธิษฐานและความหวาดกลัวที่ทุกคนสามารถรู้สึกได้” ผู้กำกับการแสดงบอก “ฮิลาลี่ เป็นตัวแทนนั้นได้อย่างเหมาะเจาะด้วยความเป็นคนมีชื่อเสียงอย่างที่เธอเป็น เธอก็ยังดูเหมือนเด็กสาวที่คุณสามารถจะเดินเข้าไปหาและพูดทักทาย เธอมีตัวตนจริง ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นดาราใหญ่เธอก็เป็นคนที่ติดดิน เป็นเหมือนศูนย์กลาง อ่อนหวานจริงใจและคุณสมบัตินั้นแสดงให้เห็นในการแสดงของเธอ”
ถ้าจะมีใครจะมองเห็นอย่างใกล้ชิดถึงลักษณะความเป็น แซมและซินเดอเรลล่า คนนั้นควรจะเป็น แชด ไมเคิล เมอร์เรย์ ผู้ซึ่งรับบทเจ้าชายสุดหล่อในบทของออสติน อาเมส — กัปตันทีมฟุตบอล และเป็นที่รู้จักกันดีทั่วทั้งโรงเรียนและอย่างที่เวอร์เบอร์เห็น “รุ่นพี่ใหญ่ยอดฮ๊อตของมัธยมปลาย” มันเหมือนประชดประชันที่ ดาราวัยรุ่นที่มีความสามารถเป็นพิเศษจากภาพยนตร์เรื่อง Dowson’s Creek เรื่อง One Tree Hill และจากภาพยนตร์คอมเมดี้ยอดนิยมที่พึ่งผ่านมานี้อย่างเรื่อง Freak Friday ยอมรับ “ตัวผมคือตัวแซมเมื่อตอนผมเรียนอยู่มัธยม แซมผู้ซึ่งเข้าสังคมไม่ได้ - นั่นแหละตัวผม ผมไม่มีเพื่อน ผมเคยต้องเดินผ่านหอประชุมที่โรมเรียนและกังวลว่าจะชนเข้ากับประตูตู้ล๊อคเกอร์ นี่เองมันถึงเป็นเรื่องน่าตลกที่ผมต้องมาเดินในโรงเรียนมัธยมในฐานะเด็กมัธยมอีกครั้งหนึ่ง เว้นแต่ว่าครั้งนี้ผมเยี่ยมกว่าเดิม”
คล้ายกันกับ ดัฟฟ์ ที่เมอร์เรย์มองเห็นบทที่เขาได้รับว่าเป็นคนยึดหยุ่น ชายหนุ่มผู้ซึ่งโอกาสในชีวิตจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงนอกจากจะเป็นด้วยตัวของเขาเอง “ออสตินเป็นคนที่ดูจะเลิศเลอไปหมดในชีวิตที่ยอดเยี่ยมของเขา เป็นเป็นดารานักฟุตบอล มีเพื่อนฝูงเยอะแยะและยังจะสาว ๆ อีก เป็นขวัญใจยอดนิยม มีรถส่วนตัว เขามีทุกอย่างอยู่ในมือและอนาคตแจ่มใสของตัวเองก็วางอยู่ตรงหน้าเขา แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือเขาไม่มีความสุข ไม่มีอะไรที่จำเป็นสำหรับเขาและเป็นสิ่งที่เขาต้องการ เพราะงั้นเขาจึงเริ่มเรื่องที่จะต่อสู้กับพ่อและเพื่อน ๆ ของเขาเอง
ความเป็นสองบุคลิกทำให้ เมอร์เรย์มีโอกาสได้เล่นในเวลาเดียวกันคือ “นักกีฬายอดนิยมและหนุ่มผู้เก็บตัว” นี่คืออีกข้อหนึ่งของโครงการ ที่ทำให้เขาสนใจ “มันนับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ต้องทำเป็นนักกีฬาผู้มีความสามารถ ได้เล่นและยังต้องอยู่ภายใต้ความรู้สึกและความขัดแย้งในเวลาเดียวกัน มีความรู้สึกเศร้าอยู่เสมอแฝงในความเป็นออสติน เขาต้องวุ่นวายกับการที่จะเป็นคนที่พ่อแม่มุ่งหวัง หรือเป็นอย่างที่เพื่อน ๆ อยากให้เขาเป็นโดยไม่มีเวลาที่จะหยุดและคิดว่าโดยตัวตนแล้วเขาอยากจะเป็นอะไร”
(ยังมีต่อ)
--อินโฟเควสท์ (นท)--