กรุงเทพฯ--22 ก.ค.--ก.ล.ต.
ก.ล.ต. สั่งให้ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) (“บมจ.ล็อกซเล่ย์”) แก้ไขงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2546 และงบการเงิน สำหรับไตรมาสที่ 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2547 ซึ่งผลจากการแก้ไขจะทำให้กำไรสุทธิและสินทรัพย์รวมของปี 2546 ลดลงรายการละประมาณ 68 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 13 และร้อยละ 1 ของกำไรสุทธิและสินทรัพย์รวมตามลำดับ
สืบเนื่องจากที่ ก.ล.ต. ได้วิเคราะห์งบการเงินของ บมจ. ล็อกซเล่ย์ พบว่า บริษัทในกลุ่มดังกล่าวได้มีการปรับโครงสร้างของบริษัทย่อย คือ บริษัท ล็อกซเล่ย์ อินฟอร์เมชั่น เซอร์วิส จำกัด (“ บ. ล็อกซเซิร์ฟ”)โดยการรวมกิจการกับ บริษัท ซี.เอส. คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) (“บมจ. ซีเอส”)) พร้อมทั้งมีการปรับโครงสร้างกลุ่มผู้ถือหุ้นของบริษัททั้งสองในเวลาเดียวกัน และปรากฏว่าในการดำเนินการดังกล่าว บริษัทย่อยของ บมจ. ล็อกซเล่ย์ อีกบริษัทหนึ่งซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใน บมจ. ซีเอส ได้บันทึกบัญชีว่าเกิดกำไรจากการขายหุ้นจำนวน 86 ล้านบาท
ก.ล.ต. ได้หารือกับสมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย และผู้ทรงคุณวุฒิทางบัญชีแล้ว เห็นว่าการบันทึกบัญชีกำไรดังกล่าวไม่เหมาะสม เนื่องจากโดยเนื้อหาทางเศรษฐกิจไม่มี
การจ่ายเงินจริง และการขายหุ้นก็มิใช่เป็นการทำเพื่อแสวงหากำไร แต่เป็นเพียงการปรับโครงสร้าง กิจการและกลุ่มผู้ถือหุ้นเพื่อแก้ปัญหาการดำเนินงานในอดีต ดังนั้น จึงได้กำหนดให้ บมจ. ล็อกซเล่ย์ สั่งให้บริษัทย่อยแก้ไขงบการเงินโดยให้ล้างกำไรจำนวน 86 ล้านบาทดังกล่าวออกไป รวมทั้งให้ปรับวิธีบันทึกบัญชีมูลค่าเงินลงทุนใน บ. ล็อกซเซิร์ฟ และ บมจ.ซีเอส เสียใหม่ให้เหมาะสม ซึ่งผลจากการแก้ไขดังกล่าวของบริษัทย่อยจะทำให้กำไรสุทธิและสินทรัพย์รวมของ บมจ. ล็อกซเล่ย์ ปี 2546 ลดลงรายการละประมาณ 68 ล้านบาท (บมจ. ล็อกซเล่ย์ มีส่วนได้เสียในบริษัทย่อยร้อยละ 79 จึงได้รับผลกระทบเท่ากับร้อยละ 79 ของ 86 ล้านบาท)
ทั้งนี้ บมจ.ล็อกซเล่ย์ ต้องแก้ไขงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2546 และงบการเงิน สำหรับไตรมาสที่ 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2547 ตามผลกระทบที่เกิดจากการแก้ไขงบการเงินของ บริษัทย่อย ภายในวันที่ 5 สิงหาคม 2547
เนื่องจากกรณีข้างต้นนี้มีนัยสำคัญต่อตัวเลขกำไรในงบการเงินที่เปิดเผยต่อผู้ลงทุนทั่วไป และผู้สอบบัญชีที่ตรวจสอบงบการเงินปี 2546 ของ บมจ.ล็อกซเล่ย์ คือ นายวิเชียร ธรรมตระกูล สังกัดบริษัท เคพีเอ็มจี ภูมิไชย จำกัด ซึ่งได้แสดงความเห็นต่องบการเงินดังกล่าวอย่างไม่มีเงื่อนไข ดังนั้น ก.ล.ต. จะพิจารณาผู้สอบบัญชีตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้ง จะประสานงานกับสมาคมนักบัญชีฯ เพื่อหาโอกาสในการสร้างความเข้าใจในปัญหาทำนองนี้แก่ผู้สอบบัญชีในวงกว้าง เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาขึ้นอีกในอนาคต
รายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
เศรษฐพงษ์ ลีเลิศพงษ์ (หนึ่ง)
press officer
โทร. 0-2252-3223 ต่อ 1619
โทรสาร 0-2256-7755
e-mail : press@sec.or.th--จบ--
--อินโฟเควสท์ (นท)--