กรุงเทพฯ--1 ธ.ค.--ก.ล.ต.
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประสานงานระหว่างผู้กำกับดูแลและผู้ประกอบการ ก.ล.ต. และสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) ได้จัดโครงการนำร่อง “ การประชุมผู้ดูแลการปฏิบัติงาน (compliance)
ในธุรกิจจัดการลงทุน รายไตรมาส ” เป็นเวทีให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับนโยบายและกฎเกณฑ์ของทางการ รวมทั้ง การรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ในการประกอบธุรกิจจัดการลงทุน
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2548 ได้มีการจัดประชุม compliance เป็นครั้งแรก ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ compliance จากธุรกิจจัดการกองทุนรวมจำนวนกว่า 30 คน จาก 18 บริษัท ได้เข้าร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่ ก.ล.ต. โดยประเด็นสำคัญ ๆ ที่ได้หารือกันในวันนี้ ได้แก่ การส่งเสริมบรรษัทภิบาลที่ดีของกองทุนรวมโดยการใช้สิทธิออกเสียงในฐานะผู้ถือหุ้น การลงทุนในตราสารหนี้ของกองทุนรวมตามแนวทางใหม่ การผ่อนผันเกณฑ์เกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลของกองทุนรวม และการคิดค่าธรรมเนียมการขายหน่วยลงทุนกับผู้ลงทุน โดย ก.ล.ต. ได้ถือโอกาสนี้เสริมสร้าง และยกระดับความรู้ความเข้าใจและแนวทางการปฏิบัติงานของ
เจ้าหน้าที่ compliance ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน นอกจากนี้ ยังเป็นช่องทางที่จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ของ ก.ล.ต. ได้เข้าใจถึงอุปสรรคต่าง ๆ ของภาคธุรกิจ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาธุรกิจจัดการลงทุนให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง สามารถรองรับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และธุรกรรมการเงินที่นับวันจะทวีความซับซ้อน
นายประเวช องอาจสิทธิกุล ผู้ช่วยเลขาธิการอาวุโส ก.ล.ต. กล่าวว่า “ นอกเหนือจากการหารือร่วมกับสมาคม บลจ. เป็นประจำทุกไตรมาส และการเปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการออกกฎเกณฑ์ ซึ่งเป็น
ช่องทางการสื่อสารหลัก ๆ แล้ว ก.ล.ต. ต้องการที่จะได้รับฟังปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ จากเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ และหวังว่าการได้มีโอกาสชี้แจงนโยบายและกฎเกณฑ์โดยตรงกับเจ้าหน้าที่ compliance จะช่วยลดช่องว่างระหว่างผู้กำกับกับผู้ถูกกำกับลงได้ ความเข้าใจและความคาดหวังที่ตรงกัน รวมทั้ง การประสานงานอย่างใกล้ชิด ระหว่างทางการและภาคเอกชนในทุกระดับ จะช่วยให้การพัฒนาธุรกิจ จัดการลงทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นรูปธรรม ”
นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า “ การจัดประชุมในครั้งนี้ นับเป็นสัญญาณที่ดี แสดงถึงความร่วมมือระหว่าง ก.ล.ต. และ ผู้ประกอบธุรกิจจัดการลงทุน ที่ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกันเป็นประจำ การสื่อสารโดยตรงในลักษณะกลุ่มเช่นนี้ จะช่วยให้เกิดการแบ่งปันความรู้ความเข้าใจ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทั้งระหว่างผู้ประกอบการด้วยกันเอง และผู้ประกอบการกับผู้กำกับดูแล
ในอนาคตหากธุรกิจนี้รวมตัวกันได้ ก็จะช่วยให้ธุรกิจนี้เติบโตอย่างมีคุณภาพและต่อเนื่อง เป็นทางเลือกของผู้ลงทุน และเป็นพลังสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจไทยต่อไป--จบ--