ซีคอน โฮม ชี้ตลาดรับสร้างบ้านเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น หลังกำลังซื้อชะลอจากเหตุน้ำท่วมในช่วงไตรมาสแรก

ข่าวอสังหา Monday July 30, 2012 15:26 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--30 ก.ค.--โฟว์ดี คอมมิวนิเคชั่น - ตลาดกลุ่ม 2.5 - 5 ลบ. ครองยอดสูงสุด คาดครึ่งปีหลังตลาดรวมจะพลิกกลับมาโตกว่า 15% - ซีคอน โฮม พี่ใหญ่วงการรับสร้างบ้านของไทยออกโรงชี้ตลาดเริ่มกลับมาคึกคัก โดยเฉพาะตลาด รับสร้างบ้านในระดับราคา 2.5 - 5 ลบ. หลังครึ่งปีแรกยังทรงตัวผลพวงน้ำท่วมหนักที่ผ่านมา เตรียมแผน คลอดแบบบ้านให้สอดคล้องกับธรรมชาติและภูมิประเทศ รับกระแสพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง ดึงยอดในครึ่งปีหลัง นางสาวศุภิชชา ชัยพิพัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทซีคอน โฮม จำกัด และซีคอนกรุ๊ป เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ธุรกิจรับสร้างบ้านค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างช้าๆ โดยในไตรมาสแรกยังคงได้รับผลกระทบ จากปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมา ส่งผลให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจในการสร้างบ้าน เพราะต้องใช้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมก่อน ส่วนไตรมาส 2 นั้น ลูกค้าเริ่มคลายความกังวลมากขึ้น กำลังซื้อเริ่มกลับมาดังจะเห็นได้จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เดือน ม.ค.-พ.ค. 55 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 54 พบว่า จำนวนหน่วยบ้านสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกทม.และปริมณฑลมีปริมาณเพิ่มขึ้น 5% จาก 8, 784 หน่วยในปี 54 เพิ่มเป็น 9,211 หน่วยในปี 55 และหากวิเคราะห์ถึงภาพรวมการทำกิจกรรมด้านการตลาด พบว่า บริษัทรับสร้างบ้านส่วนใหญ่ยังไม่มีการเคลื่อนไหวมากนักโดยเฉพาะบริษัทระดับเล็กจะเหลือแต่บริษัทใหญ่ที่มีพื้นฐานที่ดีที่ทำการตลาดต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นตลาด “ซีคอน กรุ๊ป ได้ทำการสำรวจภาพรวมตลาด พบว่า ลูกค้าในปัจจุบันเริ่มหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แบบบ้านที่มาแรงและเป็นที่นิยมสูงสุดจึงเป็นบ้านที่ใกล้ชิดธรรมชาติ ช่วยประหยัดพลังงาน และสามารถต้านภัยธรรมชาติได้ เน้นวัสดุธรรมชาติหรือวัสดุทดแทนธรรมชาติ โดยมีรูปแบบและสไตล์ที่หลากหลาย ซึ่งทำให้บริษัทรับสร้างบ้านต้องนำเสนอนวัตกรรมแบบบ้านใหม่ๆ สู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของ ซีคอน กรุ๊ป เองได้ออกแบบบ้าน Bangkok River และบ้านสายน้ำ มารับกระแสความต้องการดังกล่าว นอกจากนี้ กลยุทธ์การตอบรับกำลังซื้อในส่วนบ้านหลังที่ 2 ซีคอน กรุ๊ปก็กำลังศึกษาข้อมูลในส่วนนี้อย่างจริงจังเพื่อพัฒนาแบบบ้านให้ออกมาตรงความต้องการอย่างหลากหลาย ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวได้ในงานรับสร้างบ้าน 2012 ในเดือนสิงหาคมศกนี้” นางสาวศุภิชชา ชัยพิพัฒน์ กล่าว นอกจากนี้ การปรับทัพด้านบริการก็ถือเป็นอีกกลยุทธ์ที่ ซีคอน กรุ๊ป ให้ความสำคัญอย่างมาก “การบริการที่ครบครันในแบบ One Stop Service ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะนอกเหนือจากแบบบ้านและงานก่อสร้างที่มีคุณภาพแล้ว การบริการจะเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับลูกค้าในการตัดสินใจเลือกบริษัทรับสร้างบ้าน ซึ่ง ซีคอน กรุ๊ป ได้ใช้ระบบ ERP (Enterprise Resources Planning) เข้ามาช่วยกว่า 3 ปีแล้ว ทำให้การทำงานของบริษัทรวดเร็วเป็นระบบมากขึ้น โอกาสความผิดพลาดของข้อมูลต่างๆ ลดลง และทำให้บริษัทสามารถบริหารจัดการเรื่องต้นทุนได้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน” นางสาวศุภิชชา ชัยพิพัฒน์ กล่าวเสริม ส่วนแนวทางและกลยุทธ์การรุกตลาดของ ซีคอน กรุ๊ป ในช่วงครึ่งปีหลังนั้น นางสาวศุภิชชา กล่าวในประเด็นดังกล่าวว่า “กลยุทธ์ทางการตลาดช่วงครึ่งปีหลัง สำหรับซีคอน โฮม เรามีการวางแผนที่จะขยายตลาดสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ในพื้นที่จังหวัดใกล้ กทม. เพราะมองเห็นถึงศักยภาพของลูกค้ากลุ่มที่ต้องการมีบ้านหลังที่ 2 ในลักษณะการปลูกสร้างเพื่อใช้เป็นบ้านพักตากอากาศ และสามารถอพยพไปพักอาศัยได้หากเกิดภัยธรรมชาติ เพราะตั้งแต่เกิดมหาอุทกภัยปี 54 คนเริ่มเห็นความสำคัญกับการมีบ้านหลังที่ 2 ไว้รองรับเหตุฉุกเฉิน บางรายอาจจะเลือกที่จะซื้อคอนโดมิเนียม แต่อีกหลายรายเลือกจะซื้อหรือสร้างบ้านในจังหวัดใกล้ๆ กทม. ซึ่งใช้เวลาเดินทางไม่นานและสะดวกในการไปพักผ่อนหรืออยู่อาศัย ส่วนคอมแพค โฮม และบัดเจท โฮม ยังคงออกแบบบ้านสู้ภัยน้ำท่วมเพิ่มเติมหลังจากที่ประสบความสำเร็จในการขายแบบบ้าน “บ้านสายน้ำ” เมื่อปลายปี 54 ในปีนี้จึงมีการออกแบบบ้านสายน้ำเพิ่มเติมเป็นแบบบ้าน 3 ชั้น เพิ่มเป็นทางเลือกให้ลูกค้า ด้านภาพรวมตลาดในครึ่งปีหลังนั้น มองว่าถ้าไม่มีปัจจัยเรื่องภัยธรรมชาติและสามารถลดปัญหาแรงงานขาดแคลนได้ คาดว่าตลาดรับสร้างบ้านในครึ่งปีหลังจะดีขึ้นกว่าปี 54 ค่อนข้างมากเพราะลูกค้าเริ่มคลายกังวลเรื่องน้ำท่วม และเริ่มพิจารณาในเรื่องการสร้างบ้านมากขึ้น คาดว่าในงานรับสร้างบ้าน 2012 ในเดือนสิงหาคมนี้ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต์จะเป็นปัจจัยตัวหนึ่งที่กระตุ้นให้ลูกค้าที่กำลังลังเลหันมาตัดสินใจสร้างบ้านได้เร็วขึ้น เพราะโปรโมชั่นที่น่าสนใจภายในงาน และเป็นงานที่ลูกค้าสามารถหาข้อมูลได้ง่าย เพราะสามารถพูดคุยกับบริษัทรับสร้างบ้านในสมาคมฯ หลายบริษัทในคราวเดียวกัน คาดว่าการขยายตัวของตลาดน่าจะเทียบเท่า หรือเติบโตจากปี 54 ประมาณ 15% หรือ 11,500 ล้านบาท”

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ