วอเนอร์ ภูมิใจเสนอ DODGEBALL A TRUE UNDERDOG STORY

ข่าวทั่วไป Friday July 30, 2004 08:57 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--30 ก.ค.--วอเนอร์ บราเธอร์ส
จำได้ไหมถึงความหวาดกลัวเมื่อครั้งเป็นเด็ก — อาจจะเกิดที่สนามเด็กเล่นแถวบ้านคุณ - ลูกบอลสีแดงลอยคว้างมาตรงหัวของคุณ? หรือจะเป็นรสชาติอันหอมหวานของการเอาคืนเมื่อตอนที่คุณขว้างมันกลับไปที่เพื่อนร่วมชั้นจอมงี่เง่าคนนั้น? เพราะงั้นจงเตรียมพร้อมอีกครั้งกับการหลบ หลีก มุด พุ่ง เพราะ ดอดจ์บอล กลับมาแล้วและตอนนี้มันจะไม่อยู่แค่สนามหญ้าที่โรงเรียนดอดจ์บอลกำลังจะกลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม การแข่งขันดอดจ์บอลกำลังแพร่ขยายไปตามเมืองสำคัญต่าง ๆ นิตยสารแวนิตี้ แฟร์เรียกเกมส์นี้ว่า “ กีฬาสกัดกั้น” และ นิวยอร์ค ไทม์สและฟอร์จูนก็ป่าวประกาศวการปรากฎขึ้นใหม่ของกีฬาชนิดนี้
ฉะนั้น มันจึงเป็นการสมควรแก่เวลาสำหรับภาพยนตร์เผ็ดร้อน ที่นำมาซึ่งศักดิ์ศรีและความน่าเชื่อถือให้แก่กีฬาดอดจ์บอล การบอกเล่าตามแบบฉบับภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ ถึงตำนานของวีรบุรุษทางการกีฬา ความรู้สึกของการได้ชัยชนะและรู้สึกเศร้าเสียใจเมื่อเป็นผู้พ่ายแพ้
เราจะแจ้งให้รู้ทันทีที่ภาพยนตร์เรื่องนั้นได้ถูกสร้าง
ในระหว่างนี้ เรามีเรื่อง Dodgeball: A True Underdog Story ภาพยนตร์ ซึ่งเป็นเรื่องราวของการฉกฉวยโอกาสชีวิต ผู้เป็นตัวเอกของเรื่องนี้คือ ปีเตอร์ ลาเฟลอร์ (วินซ์ วอห์น) ผู้ขาดความสำเร็จที่มีแรงดึงดูดใจต่อคนอื่น และเป็นเจ้าของสถานออกกำลังกายชื่อว่า เอเวอร์เรจ โจส์ ลูกค้าผู้มาใช้บริการที่ยิม เอเวอร์เรจ โจส์ ที่ต่ำกว่ามาตรฐานแห่งนี้ประกอบไปด้วย จอมโจรสลัดที่มีสไตล์ของตัวเอง, นายล้าหลังผอมกระหร่องที่ใฝ่ฝันจะทำให้เชียร์ลีดเดอร์สาวประทับใจ, คนคลั่งกีฬาขนาดหนัก, ชายหนุ่มสมองทึบและพหูสูตรผู้คิดว่าตัวเองหยั่งรู้ในทุกเรื่องและแน่นอนว่าไม่รู้อะไรจริงสักอย่างเดียว
สถานออกกำลังกายที่ต่ำต้อยของปีเตอร์นั้นเป็นที่เตะตาของ ไวท์ กู้ดแมน (เบน สติลเลอร์) ผู้ซึ่งช่ำชองทางการกีฬา ฟู แมนชู ผู้ซึ่งคลั่งไคล้ตัวเองและเป็นเจ้าของ โกลโบ ยิม ซึ่งเป็นสถานออกกำลังกายที่เป็นที่นิยม ไวท์มีความตั้งใจที่จะซื้อกิจการของ เอเวอร์เรจ โจส์ และบัญชีที่ไม่เคยมีการบันทึกไว้ของปีเตอร์ก็ทำให้ทุกอย่างมันดูแสนจะง่ายดาย และธนาคารก็ส่งตัวแทนคือ เคธ วิธช์ (คริสทีน เทย์เลอร์) เข้ามาที่ เอเวอร์เรจ โจส์ เพื่อสรุปการซื้อกิจการ แต่ความเจ้าเสน่ห์แบบความไร้เดียงสาของปีเตอร์ ชนะใจเคธจนเธอยอมเข้าร่วมทีมกับเขาเพื่อต่อสู้กับการควบรวมกิจการนี้ — ด้วยความไม่เหมาะไม่ควรของพวกเขา — ที่จะพยายามรักษาเอเวอร์เรจ โจส์เอาไว้ จะด้วยวิธีไหนล่ะ? เข้าแข่งขันดอดจ์บอลกับทีมของ โกลโล ยิม
“และในที่สุด” เบน สติลเลอร์ ผู้อำนวยการสร้างและผู้แสดงเรื่อง Dodgeball: A True Underdog Story กล่าวในขณะที่แลบลิ้นเลียไปจนถึงแก้มตัวเองว่า “เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับ ดอดจ์บอลอย่างจริงจัง ที่จะไม่ลดราวาศอกและแสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดและการโดนเหยียดหยามรวมถึงการโดนลูกบอลกระแทกที่หน้า ต่อหน้าต่อหน้าผู้คนมากมาย” วินซ์ วอห์น ผู้ซึ่งจองเวรสติลเลอร์ในภาพยนตร์ มองว่าหนังเรื่องนี้อยู่ท่ามกลางความเป็นภาพยนตร์คอมมิดี้ เป็นเรื่องราวของศักดิ์ศรี “มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผู้คนที่เข้าพวก และพวกเขามารวมกันเพื่อค้นหาความนับถือตนเองและบางสิ่งบางอย่างนั่นคือ — สถานออกกำลังกายของพวกเขา - ว่ามันคุ้มค่ากับการปกป้อง ดอดจ์บอลกลายเป็นสิ่งที่ช่วยให้พวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับบทเรียนของชีวิตและยืนขึ้นเพื่อต่อสู้เพื่อพวกเขาเอง”
ศักดิ์ศรี? บทเรียนของชีวิต? อาจจะใช่ แต่มีอย่างหนึ่งที่แน่นอน : Dodgeball: A True Underdog Story ได้เริ่มเปิดแนวทางใหม่ให้กับประวัติศาสตร์ของภาพยนตร์ ซึ่งจะกล่าวได้ว่า มันเป็นภาพยนตร์สตูดิโอเรื่องแรกที่ถ่ายทำในโรงถ่ายภายใต้เรื่องราวที่ว่า “ภาพยนตร์เกี่ยวกับดอดจ์บอลที่ไม่ได้อยู่ในข่ายที่จะติดอันดับหนังทำเงินเลย” รอว์สัน มาร์แชล เธอร์เบอร์ ผู้กำกับการแสดงและผู้เขียนกล่าว “แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเองมันแสดงให้เห็นถึง การสืบต่อกันมาของภาพยนตร์ของคนไม่เอาไหนทั้งหลายอย่างเช่นเรื่อง Stripes เรื่อง The Bad News Bears และเรื่อง Meatballs ซึ่งได้ตามแนวตัวอย่างของงานภาพยนตร์คอมมิดี้: ที่พวกกระท่อนกระแท่นไม่เอาไหน มาเข้าสังคม มีเงินทุนหรือพรสวรรค์ทางการกีฬาที่จะต่อสู้กับฝ่ายตรงกันข้าม”
สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการเปิดตัวเป็นครั้งแรกของ เธอร์เบอร์ ผู้ซึ่งคลั่งไคล้กีฬาและได้รับความสนใจจากภาพยนตร์โฆษณาเรื่อง “Terry Tate: Office Linebacker” ของรีบ๊อค เขาอยากจะรวมโลกของกีฬาเข้ากับโลกของภาพยนตร์คอมมิดี้ และเขาก็สรุปได้ว่าดอดจ์บอล เป็นกีฬาที่ลงตัวที่สุดที่จะทำได้ “ไม่มีใครสนใจดอดจ์บอลอย่างจริงจัง แต่ทุกคนมีความทรงจำให้กับมันไม่ว่าจะเป็นทางใดก็ทางหนึ่ง: ไม่ว่าคุณจะโดนกระแทกหรือจะเคยกระแทกใครด้วยลูกบอลก็เถอะ” เธอร์เบอร์กล่าว
ในการเรียบเรียงบทภาพยนตร์เรื่อง Dodgeball: A True Underdog Story นั้น เธอร์เบอร์พิจารณาว่าสิ่งที่เขาเรียกมันว่า การแบ่งคอมมิดี้แบบคลาสสิคออกเป็นสองส่วน ส่วนใบหน้าและส่วนหน้าขา “นั่นเป็นสองแห่งที่เมื่อคุณอัดใคร ผู้ที่ผ่านมาและผู้ชมจะต้องเสียวสะดุ้งและหัวเราะ” เธอร์เบอร์กล่าว “มันเหมือนกับที่เมล บรู๊คเคยพูดว่า ถ้าผมสะดุดหัวแม่เท้าตัวเองนั่นมันเป็นโศกนาฏกรรมแต่ถ้าคุณหกล้มแล้วขาหักนั่นมันคือเรื่องขำขัน” มันเหมือนกันกับ คนงานโชคร้ายที่โดนไลน์แบ๊คเกอร์หนักสามร้อยปอนด์หล่นใส่ในสปอต์โฆษณา “เทอรี่ เทธ”ของเธอร์เบอร์
บทภาพยนตร์ของเธอร์เบอร์ ได้รับการตอบรับจากผู้บริหารสตูดิโอ แต่หาผู้ซื้อไม่ได้ในระยะแรก เธอร์เบอร์เล่าต่อว่า “ ผมได้ยินแต่คำกล่าวแบบว่า ว้าว เรื่องนี้สนุกจังเลย…แต่เราไม่อยากทำหนังที่เกี่ยวกับดอดจ์บอล และมันก็แน่นอนอยู่แล้วว่ามีข้อมูลภาพยนตร์เกี่ยวกับดอดจ์บอลน้อยขนาดไหนในบ๊อกซ์ออฟฟิศ ส่วนใหญ่คงเป็นเพราะว่ามันไม่มีหนังเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมา” และในที่สุด บริษัทผลิตภาพยนตร์ เรดอาว ฟิลม์ซึ่ง ของ เบน สติลเลอร์และสจ๊วต คอร์นเฟล ได้คว้าบทภาพยนตร์นี้ไปหลังจากที่รีเซฟชั่นของบริษัทได้อ่านมันและส่งต่อมาให้กับผู้บริหารฝ่ายผลิตซึ่งผ่านต่อให้กับคอร์นเฟลและในที่สุดก็มาจบลงที่โต๊ะของเบน สติลเลอร์
“เราคิดว่ามันเป็นบทที่สนุกสนานมาก” คอร์นเฟลกล่าว “มีตัวแสดงที่น่าสนใจมากมายเป็นหัวข้อใหม่ให้กับวงการภาพยนตร์ และยังเป็นเรื่องที่เกือบทุกคนต้องมีประสบการณ์กับมัน” สติลเลอร์กล่าวเสริมพร้อมกับหัวเราะ “พวกเราทุกคนล้วนแบกความรู้สึกความกลัวและความปิติยินดีและบางทีการรู้สึกถึงการโดนดูถูกเหยียดหยาม ในตอนที่เรามีประสบการณ์การเล่นดอดจ์บอลตอนเราเป็นเด็ก บางทีความรู้สึกอันนี้ทำให้เราเกิดความอยากจะแก้แค้น ผมคิดว่ามีหลายคนในวงการบันเทิงเคยเป็นผู้เล่นดอดจ์บอลที่แย่มาก แต่ในเวลานี้พวกเขากลับประสบความสำเร็จ”
ด้วยการสร้างที่ร่วมกันระหว่าง สติลเลอร์และคอร์นเฟล โดยบริษัท ทเวนตี้เซ็นจูรี่
ฟ๊อกซ์ได้เข้ามาให้ทุนในการสร้างและจัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่องนี้ ทีมงานสร้างได้เริ่มงานคัดสรรตัวแสดง สำหรับบทบาทของ ปีเตอร์ ลาเฟลอร์ เธอร์เบอร์ มุ่งมั่นให้เลือกวินซ์ วอห์นเป็นผู้แสดง “ผมพยายามที่จะเขียนความเป็นวินซ์ วอห์นลงไปในตัวละคร” ผู้กำกับการแสดงกล่าว “วินซ์มีความเสเพลและเสน่ห์น่ารักเหมือนที่ บิลล์ เมอร์เรย์มีในภาพยนตร์เรื่อง Stripes เรื่อง Meatball และเรื่อง Ghostbusters ” คอร์นเฟลกล่าวเสริม “วินซ์เองมีความใส่ใจในการรับบทของ ปีเตอร์ ผู้ซึ่งไม่ได้ทำให้เกิดความประทับใจหากมองจากภายนอก ตัวแสดงนี้ดีที่จิตใจและไม่สนใจด้วยว่าจะมีใครชอบเขาหรือเปล่า”
วอห์นชื่นชมบทภาพยนตร์ในด้านอารมณ์ขันที่เข้มงวดและยังมองเป็นพิเศษถึงหัวใจของเรื่อง “ตัวแสดงเป็นผู้คนที่คุณจะชี้ตัวได้” เขากล่าว “มันทำให้ผมรู้สึก คุณจะเชื่อไหมนะ เหมือนเรื่อง The Wizard of Oz ซึ่งบุคลิกภาพของ ออซ เหมือนกับพวกเรา ที่กำลังแสวงหาสิ่งที่มีอยู่แล้ว อย่างเช่นหัวใจและความกล้าหาญ”
เธอร์เบอร์รู้สึกปลาบปลื้มมากที่ สติลเลอร์ ซึ่งเป็นดาวตลกในดวงใจ จะเป็นคนสร้างภาพยนตร์เรื่อง Dodgeball: A True Underdog Story เขายังปลื้มไปกว่านั้นอีกเมื่อสติลเลอร์ตัดสินใจรับบทของ ไวท์ กู้ดแมน ซึ่งเกินความคาดหมายของเขา “เบน เป็นนักแสดงที่ เร็วและเป็นคนช่างคิด” เธอร์เบอร์กล่าว “มีน้อยมากที่เขาจะทำไม่ได้ในคอมมิดี้”
ความเป็น ไวท์ กู้ดแมน ของสติลเลอร์นั้นคือ ชายหนุ่มที่ทำทุกอย่างด้วยตนเอง ผู้สะท้อนความเซ็กซี่: ผิวแทนแบบปลอม ๆ ฟันขาววับ ทรงผมแต่งเนี๊ยบ ใส่น้ำมันและทำไฮไลท์เพื่อความดูดี แถมด้วยเคราเท่ห์นั่นอีก บทบาทนี้อย่างที่ คอร์นเฟลบรรยายว่าเป็น “เป็นสุดยอดแห่งการหลงตัวเองอย่างร้ายและยังรวมถึงความไม่ปลอดภัยอีกด้วย” ความไม่ปลอดภัยนี้เกิดขึ้นและเป็นส่วนหนึ่งของอดีตของเขา “ไวท์เคยเป็นคนที่เฮ้วเอามาก ๆ” สติลเลอร์ชี้ให้เห็น “และในปัจจุบันนี้เขาได้เปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพ ของตนเองและชีวิตความเป็นอยู่ของเขา เขาจึงสำแดงอำนาจ ขจัดใครก็ตามที่มาขวางหนทางของเขา”
บุคลิกภาพของความเป็นตัวไวท์ทำให้สติลเลอร์ได้แสดงความสามารถในด้านตลกของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ “เบนมีความสามารถในการรับบทบาทที่เขามีทุ่มเทกับสิ่งที่เขาเชื่อได้ 1000 เปอร์เซ็นต์ — ไม่ว่ามันจะเป็นความเชื่อที่ปัญญาอ่อนขนาดไหนก็ตาม” คอร์นเฟลบอก
ความลังเลของไวท์มีขึ้นเนื่องมาจากความสนใจที่ทำให้สับสนในตัว เคธ วีธช์ ทนายความที่ถูกว่าจ้างให้มาช่วยก่อนการปิดกิจการของ เอเวอร์เรจ โจส์ ในขณะที่ความขยะแขยงในตัวไวท์มีมากขึ้นและความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้กับปีเตอร์ก็มากขึ้นไปด้วย ทำให้เธอได้ร่วมกับ เอเวอร์เรจ โจส์ ในการเตรียมนักกีฬาดอดจ์บอลที่ไม่สมบูรณ์แบบเพื่อแข่งขันกับ โกลโบ ยิม “คริสทีนเป็นคนยอดเยี่ยมและเสาหลักให้กับผู้คนที่บ้าคลั่งรอบ ๆ ตัวเธอ” เธอร์เบอร์เล่า “ช่วงจังหวะความตลกของเธอไม่มีที่ติเลยทีเดียว”
ริป ธอร์น รับบทเป็น แพ็ทเชส โอฮูลิฮาน ผู้เป็นเหมือนตำนานของกีฬา ดอดจ์บอล เขาพยายามที่จะปั้นและเปลี่ยนให้ทีมอเวอร์เรจ โจส์กลายเป็นนักฆ่าในกีฬา ดอดจ์บอล เพ็ทเชส เดินทางมายาวไกล — ขาลง — จากวันเวลาแห่งชัยชนะของเขา “แพ็ทเชส เป็นคนป่วย แปลกประหลาดและเป็นคนแก่ที่ลามก เขามีความรู้มากมายเกี่ยวกับเกมส์แต่ไม่รู้เรื่องเลยเกี่ยวกับการวางตัวเข้าสังคม” ธอร์นเล่า “เพราะงั้นผมสนุกมากที่ได้แสดงบทบาทนี้”
ในบรรดาผู้ร่วมทีมที่ไร้วี่แววและเป็นเหยี่อให้กับเพ็ทเชสฝึกสอนนี้คือ สตีฟ จอมโจรสลัด ผู้ซึ่งมีความเป็นตัวของตัวเองในการเป็นโจรสลัดอย่างสูง เขาตอบรับทุกสิ่งที่เป็นการท้าทายให้กับชีวิตโดยการออกเสียงคำรามว่า “อ๊าคค์” “ผมคิดว่ามันคงจะตลกดีถ้ามีตัวแสดงที่เดิน พูดและคิดว่าตัวเองเป็นโจรสลัด และไม่มีใครปิ๊งกับมันได้เลย” เธอร์เบอร์เล่า ผู้กำกับการแสดงต้องประหลาดใจเมื่อบทนี้กลายเป็นเรื่องตลก “การทดสอบความเป็นกรดเป็นด่าง” สำหรับคนที่ได้อ่านสคริปท์ “ผมค้นพบว่า ถ้าเราเข้าใจสตีฟจอมโจรสลัดได้ ผมจะรู้ว่าคุณรับได้ถึงมุขของหนังเรื่องนี้ทั้งเรื่อง” เขากล่าว
สตีฟ จอมโจรสลัด ก็เป็นเหมือนกับ ตัวแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Dodgeball: A True Underdog Story ทั้งหลาย แต่ในการคัดเลือกตัวแสดงนั้น ทีมงานต้องมองหาทุกอย่างเว้นพวกที่อ่านมากเกินไป “มีคนหลายคนตอนที่เราคัดเลือก แสดงออกในแบบที่เป็นเหมือนพวกเมายาใส่ชุดลองจอห์น” เธอร์เบอร์เล่า “แต่สตีฟ จอมโจรสลัดไม่ได้เป็นใครที่เสแสร้งที่จะเป็นโจรสลัด มันไม่ใช่เทศกาลฮัลโลวีนและเขาก็ไม่ได้กำลังทำงานประจำอยู่ด้วย” และในที่สุดทีมงานก็เลือกได้ นักแสดงฝึกหัด จูเลียตชื่อ อลัน ทูดิคมารับบทเป็นสตีฟ “บทพูดของตัวแสดงนี้มีน้อยมาก อาจจะแค่ 10 บรรทัดเท่านั้น แต่อลันทำให้ทุกคนจำความเป็นสตีฟได้” เธอร์เบอร์เล่า “เขาจะทำบางสิ่งที่ทำให้ความลักษณะความเป็นสตีฟ จอมโจรสลัดอยู่ในทุก ๆ ฉาก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไรเลยก็ตาม นั่นมันไม่ใช่งานที่ง่ายเลย”
นักกีฬาดอดจ์บอลอีกคนหนึ่งของทีม เอเวอร์เรจ โจส์ คือ จัสติน ผู้ซึ่ง คอร์นเฟลบรรยายว่า “เป็นเด็กที่ถูกจับขังในตู้ล๊อคเกอร์ของคนอื่นและถูกแกล้งให้ทรมานตลอดเวลาที่เรียนมัธยม” จัสติน ลอง ซึ่งต้องเล่นบทเหมือนกับ เทร็คกี้จากภาพยนตร์เรื่อง Galexy Quest (หนึ่งในภาพยนตร์ที่ เธอร์เบอร์ชื่นชอบ) ซึ่งเป็นหนุ่มน้อยที่โดนทารุณนี้ สตีเฟ่น รู๊ท (มิลตั้นผู้เคราะห์ร้ายจากลัทธิยอดฮิต Office Space) คริส วิลเลี่ยมส (คราซี่ อายซ์ คิลล่า จากเรื่อง Curb Your Enthusiasm) และน้องใหม่ โจเอล มัวร์เติมเต็มความเป็นทีมของอเวอร์เรจ โจส์ ตัวเต็งของไวท์ กู๊ดแมนให้กับทีม โกลโบ ยิมได้แก่ มิสซี่ ไพล์ (จากเรื่อง Along Came Polly) เป็นหัวหอกและ ฟรานนักดอดจ์บอลจากราชวงศ์โรมาน๊อฟ รวมทั้ง จาเมล อี ดัฟฟ์ เป็น มี เชล โจนส์ผู้ยิ่งใหญ่
ตัวแสดงหลายตัวมีความทรงจำที่ชัดเจน หรือไม่ก็ไม่ค่อยดีนักกับกีฬาดอดจ์บอล คริสทีน เทย์เลอร์กล่าวว่า “ฉันจำได้ว่าเล่นเกมส์นี้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แต่พวกเราเรียกมันว่า แบทเทิ้ลบอล และเด็กผู้หญิงทุกคนไม่ชอบมันเอาเลย ถ้าคุณไม่ใช่พวกชอบไปเตะก้นชาวบ้านแล้วละก็ มันจะเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายสำหรับคุณทีเดียว” สตีเฟ่น รู๊ทเล่าว่าที่เขาเคยเล่นเรียกกันว่า “เมอร์เดอร์ บอล” “ในเบื้องต้นแล้ว” เขาเล่า “เด็กที่ตัวโตจากมาขว้างลูกรักบี้ใส่หัวของพวกเรา และ หัวเราะเยาะ เพราะงั้นมันไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดีเลยของผม”
แต่ผู้เขียนและผู้กำกับการแสดง รอว์สัน มาร์แชล เธอร์เบอร์ กลับตอกย้ำว่าความทรงจำเกี่ยวกับดอดจ์บอลของเขาไม่มีอะไรเลยนอกจากความเจ็บปวด “ผมไม่ได้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นจากความฝันร้าย ในวัยเด็ก” เขาเล่า “เมื่อตอนเด็ก ผมรักการเล่นดอดจ์บอลเอาจริง ๆ” ตัวของเธอร์เบอร์เองก็เหมือนกับคนอเมริกันทั่ว ๆ ไป ที่อ้าแขนรับเกมส์นี้และเดินทางแข่งขันในหลายลีคไปทั่ว ๆ ประเทศ
ในการที่จะเคี่ยวนักแสดงให้เป็นอย่างที่ต้องการ เธอร์เบอร์และผู้ประสานงานด้านตัวแสดงแทน คือ อเล็กซ์ แดเนี่ยลส์ต้องจัดตั้งค่ายการฝึกอบรมเป็นพิเศษขึ้น “พวกเราต้องการให้ผู้เล่นเกมส์ มีความรู้สึกของการเป็นนักกีฬา” สติลเลอร์อธิบาย “โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคนิคทางการขว้าง” “คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าการเล่นดอดจ์บอลนี่มันเหนื่อยยังไง” เธอร์เบอร์กล่าว “มันเป็นการออกกำลังที่บริหารหัวใจอย่างหนึ่ง” คอร์นเฟลเสริม “ทุกคนจะคิดว่าการเล่นดอดจ์บอลในหนังน่าจะเป็นเหมือนที่พวกเขาเล่นเกมส์กันที่สนามเด็กเล่นที่โรงเรียน ที่ค่ายฝึกสอนแห่งนี้ พวกเขาจะได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการเล่นดอดจ์บอลถือเป็นกีฬาอย่างหนึ่ง ที่ให้ทั้งความเจ็บและความปวดที่จะมาพร้อมกับการแข่งขัน”
ความเจ็บปวดและการเกิดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่นเข่าถลอก ปวดหัวไหล่หรือว่าข้อมือเคลื่อน เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วที่จะเกิดกับนักแสดงเพื่อจะลับความคมในทักษะการเล่นดอดจ์บอล ระหว่างการซ้อมใหญ่ครั้งหนึ่ง เบน สติลเลอร์เกิดพลาดคิวซัดผู้ร่วมแสดงและภรรยา คือ คริสทีน เทย์เลอร์เข้าที่หน้า “ความรู้สึกในการแข่งขันของเบนเกิดขึ้นอย่างจริงจังในระหว่างฉากถ่ายทำเกมส์ดอดจ์บอล” เทย์เลอร์หัวเราะ “เขาควงสว่านด้วยมือซ้ายแล้วขว้างบอลสุดแรงเกิด ผมยังเห็นบอลมันพุ่งตรงมาหาผม แต่เขาไม่ได้เล็งเม่นขนาดนั้น ลูกบอลตรงเข้ามากระแทกผมเต็มหน้า เขารู้สึกแย่มากที่ทำแบบนั้น แต่ที่เสียหายร้ายแรงที่สุดสำหรับผมคือผมเสียความเชื่อมั่นในตัวเองไปหมดเลย”
“นั่นแหละ ผมรู้แล้วว่าผมได้สมญานามว่า คุณเถื่อนมาจากไหน ในระหว่างการถ่ายทำ”
สติลเลอร์กล่าวอย่างเสียใจ “เพราะผมเล็งทีไรไม่ถูกสักที” สติลเลอร์เขวี้ยงโดนกล้องไปสามตัว ซึ่งก็ยังสามารถซ่อมให้กลับมาใช้การได้
ในขณะที่จุดมุ่งหมายของค่ายฝึกดอดจ์บอลนั้นคือให้ทีมนักแสดงได้เรียนรู้จังหวะและกติกาของเกมส์และยังทำเตรียมความพร้อมให้กับร่างกายเพื่อถ่ายทำกันหลายอาทิตย์ อารมณ์ขัน การแข่งขันและเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองได้รับการเตรียมพร้อมในทุกด้าน ความรู้สึกในการแข่งขันของนักแสดงขึ้นถึงขีดสุดและเมื่อถึงเวลาเปิดกล้องมีผู้คนรวบรวมกันเข้ามาเพื่อดูการแข่งขันและถ่ายทำไปด้วยทำให้การเล่นนั้นดูเหมือนเป็นจริงเป็นจริง
ฉากการแข่งขันดอดจ์บอลนั้นถ่ายทำกันในโรงยิม ที่ โรงเรียนมัธยมคาบริลโล ในลองบีช แคลิฟอร์เนีย ทีมงานสร้างได้เนรมิตสนามบาสเก็ตบอลของโรงเรียนให้เปลี่ยนไปเป็นสนามแข่งขันกีฬาดอดจ์บอลระดับชาติแห่ง ลาสเวกัสล้อมรอบไปด้วยสีสันแห่งลาสเวกัส และที่นั่นเองต่อหน้าเสียงกรีดร้องของบรรดาแฟน ๆ ทั้งหลาย ทีมเอเวอร์เรจ โจส์ ได้เข้าแข่งขันกับหลายต่อหลายทีมและเป็นผู้นำในดอดจ์บอลแมทช์พร้อมกับคู่แข่งขันทั้งหลายรวมทั้ง จงอางม่วงซึ่งเป็นทีม ของโกลโบ ยิมอีกด้วย
ฉากที่เป็นภายในของ เอเวอร์เรจ โจส์ ทีมงานสร้างฉากคือ มาเฮอร์ อาห์หมัด (จากภาพยนตร์เรื่อง The Fugitive) ได้สร้าง ความรู้สึกเก่ากระรุ่งกระริ่ง โดยใช้ไฟเบอร์และผ้าคอตต้อน ไม้และพรมเก่า ๆ แสงธรรมชาติและอุปกรณ์ออกกำลังกายเก่า ๆ ทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นและความรู้สึกของการมีชีวิตให้กับอเวอร์เรจ โจส์ “คนที่เอเวอร์เรจ โจส์นั้นเป็นจำพวกที่ขี้แพ้และไม่มีความพร้อม” อาห์หมัดกล่าว “แต่ในตัวสถานที่เองกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยหัวใจและความรู้สึก มันเป็นเหมือนคลับเฮ้าส์สำหรับทุกคนที่นั่น” ในทางตรงกันข้าม โกลโบ ยิม นั้นดูดี เต็มไปด้วยเงาวับแวมของกระจกและเหล็ก ทุกอย่างเป็นของปลอม - ไม่มีแม้แต่ต้นไม้หรือวัสดุที่ทำจากธรรมชาติ
เครื่องแต่งกาย นั้นได้รับการออกแบบโดย คารอล แรมเซย์ที่แสดงให้เห็นถึงความแต่งต่างกันในตัวผู้เล่นเหมือนอยู่คนละโลก เครื่องแบบนักกีฬาดอดจ์บอลของทีม เอเวอร์เรจ โจส์ เป็นแบบหลวม ๆ และดูคลาสสิค เป็นลูกผสมของเครื่องแบบนักกีฬาบาสเก็ตบอลและฟุตบอล ส่วนทีม จงอางม่วงโกลโบ ยิมนั้น (อาจจะเป็นชื่อทีมที่น่าขันที่สุดในประวัติของภาพยนตร์เลยก็ว่าได้ เธอร์เบอร์บอก) เป็นผ้าสแปนเดกซ์แบบกีฬาสีม่วงพร้อมเครื่องป้องกันครบ
ภาพยนตร์เรื่อง Dodgeball: A True Underdog Story ทำให้เกมส์และลักษณะของบุคลิกภาพต่าง ๆ ผสมผสานให้ความมีชีวิตชีวา กีฬาดอดจ์บอลอาจจะไม่ใช่สิ่งที่คุณคิดถึงมันเมื่อไม่นานมานี้ และสำหรับอีกหลาย ๆ คนมันเป็นสายใยถักทอเกี่ยวโยงถึงความรู้สึกเมื่อครั้งเป็นเด็ก “เมื่อคุณเอ่ยคำว่า ดอดจ์บอล ผู้คนจะหยุดและรู้สึกเหงื่อตกหรืออาจจะยิ้มออกมา” เธอร์เบอร์กล่าว “คุณจะจำได้ถึงกลิ่นของยิม ถึงดอดจ์บอลและการโดนดูถูกเหยียดหยาม”--จบ--
--อินโฟเควสท์ (นท)--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ