กรุงเทพฯ--15 ส.ค.--กรมธนารักษ์
กรมธนารักษ์ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมมือกับกรมที่ดินว่าด้วยการขอใช้ข้อมูลที่ดินเพื่อการจัดทำบัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ ฉบับที่ 3 หลังจากประกาศใช้บัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ รอบปี พ.ศ. 2555 - 2558 โดยมีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2555 พร้อมรับมือการขยายพื้นที่การประเมินราคาที่ดินรายแปลงครอบคลุมทั้งประเทศ
วันนี้ (15 สิงหาคม 2555) ณ กรมธนารักษ์ นายนริศ ชัยสูตร อธิบดีกรมธนารักษ์ พร้อมด้วย นายบุญเชิด คิดเห็น อธิบดีกรมที่ดิน ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (Memorandom of Understanding : MOU) เพื่อขอใช้ข้อมูลที่ดินสำหรับจัดทำบัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ ฉบับที่ 3 โดยกรมธนารักษ์ จะขอใช้ข้อมูลแผนที่ ข้อมูลทะเบียนที่ดิน ข้อมูลอาคารชุด รวมทั้งข้อมูลราคาซื้อขายเพื่อทำการวิเคราะห์กำหนดราคาประเมิน ก่อนจัดทำบัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ ส่งให้กรมที่ดินใช้ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม
นายนริศ ชัยสูตร อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงของทั้งสอง ส่วนราชการถือเป็นความร่วมมือในการบูรณาการข้อมูลที่ใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการตามภารกิจของทั้งสองส่วนราชการ โดยระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา กรมที่ดินและกรมธนารักษ์ได้บูรณาการใช้ข้อมูลร่วมกัน รวมทั้งมีการพัฒนาวิธีการทำงานนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น เช่น การจัดทำแผนที่ การจัดทำบัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน โรงเรือนสิ่งปลูกสร้าง และห้องชุดในรูปแบบดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้บัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ ของอสังหาริมทรัพย์ที่กรมธนารักษ์จัดทำมีความครบถ้วน ถูกต้อง และมีราคาประเมินทุนทรัพย์ที่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามราคาตลาดของอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้เกิดความเป็นธรรมทั้งในส่วนของรัฐ และประชาชน ผู้มีภาระต้องชำระค่าธรรมเนียมและภาษีต่างๆ ให้แก่รัฐ
นอกจากนี้แล้ว กรมที่ดินยังสามารถนำบัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ไปใช้ในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมและภาษีต่างๆ จากการโอนอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว มีคุณภาพและได้รับ ความพึงพอใจจากประชาชนในการให้บริการซึ่งผลของความร่วมมือตกลงกันของทั้งสองหน่วยงาน จะสนับสนุนให้ระบบการจัดหารายได้ของรัฐมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อรัฐในการบริหารราชการแผ่นดินโดยรวม นายนริศกล่าวในตอนท้าย