กรุงเทพฯ--16 ส.ค.--ปภ.
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยของนายกรัฐมนตรีแก่จังหวัด เน้นย้ำให้จังหวัดจัดตั้งศูนย์บัญชาการส่วนหน้า (จังหวัด) พร้อมสนับสนุนการจัดตั้งคลินิกด้านน้ำ รวมทั้งนำหลักการ 2P2R มาใช้เป็นแนวทางสำคัญในการเตรียมพร้อม ป้องกันภัย เผชิญเหตุ และฟื้นฟูสาธารณภัย ตลอดจนจัดทำระบบเตือนภัยและการรายงานเหตุด่วนผ่านระบบ E-report เพื่อขับเคลื่อนนโยบายการจัดการน้ำของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญการเตรียมความพร้อมการบริหารจัดการสาธารณภัยที่ครอบคลุมวงจรภัยพิบัติ โดยได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะหน่วยงานกลางด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศ รับผิดชอบการขับเคลื่อนภารกิจด้านการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย เพื่อผลักดันให้เกิดกลไกการขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจึงได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยของนายกรัฐมนตรี มีผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 1 -18 หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด 76 จังหวัด ร่วมประชุมรับมอบนโยบาย เพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินภารกิจสำคัญที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล โดยเน้นย้ำให้จังหวัดจัดตั้งศูนย์บัญชาการส่วนหน้า (จังหวัด) เพื่อให้เป็นศูนย์กลางตอบโต้เหตุฉุกเฉินและให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีเอกภาพ และมีประสิทธิภาพในการลดความสูญเสีย รวมทั้งจัดเจ้าหน้าที่และเตรียมข้อมูลสนับสนุนการจัดตั้งคลินิกด้านน้ำในการจัดนิทรรศการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาล ตลอดจนนำหลักการ 2P2R มาใช้เป็นแนวทางสำคัญในการเตรียมพร้อม ป้องกันภัย เผชิญเหตุ และฟื้นฟู สาธารณภัย ที่สำคัญ ให้จัดทำระบบเตือนภัยและการรายงานเหตุด่วนผ่านระบบ E-report เพื่อให้การแจ้งเตือนภัยเข้าถึงพื้นที่อย่างรวดเร็วและการรายงานข้อมูลสถานการณ์ภัยที่สามารถนำมาสั่งการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายวิบูลย์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับพื้นที่ 11 จังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้กำชับให้จังหวัดเร่งดำเนินโครงการศึกษาและอบรมตามวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงเพื่อให้สามารถอยู่กับสภาพน้ำท่วมตามแนวทางจัดการ ภัยพิบัติโดยอาศัยชุมชนเป็นฐาน โดยมุ่งให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ซึ่งจะเป็นการพัฒนากลไกการจัดการภัยพิบัติในระดับพื้นที่ให้สามารถรองรับภัยพิบัติที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น และสร้างเครือข่าย การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน