กรุงเทพฯ--17 ส.ค.--ตรีเพชรอีซูซุเซลส์
ตรีเพชรอีซูซุปิดท้าย “อีซูซุ ซูเปอร์คอมมอนเรล คาราวานสัญจร ปี 2012” สุดประทับใจบนเส้นทางระหว่างประเทศจากไทยสู่ สปป.ลาว พาสมาชิกสู่จุดหมายเชียงขวาง-หลวงพระบาง-วังเวียง-เวียงจันทน์ พร้อมสัมผัสศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี อาหารการกิน และไมตรีจิตระหว่างสมาชิกและมิตรต่างแดน เก็บเกี่ยวทุกความทรงจำกลับบ้านอย่างเต็มเปี่ยม
“อีซูซุ ซูเปอร์คอมมอนเรล คาราวานสัญจร ปี 2012” เส้นทางท้ายสุดประจำปีนี้ ออกเดินทางจากโชว์รูม ห.จ.ก.เฮียบหงวนมิลเลอร์ สาขาหนองคาย โดยมีสมาชิกประชาคมอีซูซุตบเท้าเข้าขบวนอย่างพร้อมเพรียง จำนวน 26 คัน พร้อมได้รับเกียรติจาก มร.เอ.สุกียาม่า ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายขายดีลเลอร์ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด, คุณธัญภา นิโครธานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท.สำนักงานหนองคาย และคุณวิวัฒน์ เมธีวรรณกิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย ร่วมตีธงปล่อยขบวนคาราวาน มุ่งสู่ด่านตรวจคนเข้าเมืองเพื่อผ่านพิธีการเข้าสู่ สปป.ลาว แล้วเรียงลำดับหมายเลขรถขับผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 1 เก็บภาพบรรยากาศแม่น้ำโขงสองข้างทาง ก่อนเข้าสู่ตัวเมืองลาวอย่างเป็นทางการ
สิ่งแรกที่สมาชิกประชาคมอีซูซุในขบวนต้องปรับตัวในการเดินทางคือการขับรถชิดขวา เลี้ยวซ้ายก็ต้องชิดขวา มุ่งสู่เมืองโพนสะหวันเป็นจุดหมายแรก โดยใช้เส้นทางนอกเมืองเป็นถนน 2 เลนสวนทางแบบลาดยางที่บางช่วงก็เป็นหลุมบ่อขรุขระ แวะรับประทานอาหารกลางวันแบบลาวมื้อแรกที่วังเวียง ต่อจากนั้นก็ออกเดินทางผ่านเขาสุดคดโค้ง ระหว่างทางไกด์สาวชี้ชวนให้ดู “เขานมสาวและเขาอ้าปาก” 2 ขุนเขาเรียงเคียงคู่รูปร่างแปลกตา ก่อนที่ขบวนจะทราบข่าวจากทีมล่วงหน้าว่าบริเวณอำเภอกาสีมีดินถล่มขวางเส้นทาง รวมทั้งมีรถบรรทุกใหญ่ที่พยายามขับผ่านบริเวณดังกล่าวจนดินติดล้อและไม่สามารถเคลื่อนตัวได้ ไปจอดขวางเส้นทางซ้ำอีก ทีมงานคาราวาน อีซูซุนำโดยคุณพัฒนเดช อาสาสรรพกิจ ผู้อำนวยการจัดคาราวาน จึงแก้ปัญหาด้วยการส่งทีมไปช่วยนายทหารลาวเคลียร์เส้นทาง ทั้งขุดดินและผูกวินซ์เพื่อขยับรถบรรทุก เวลาผ่านไปกว่า 3 ชั่วโมง ขบวนคาราวานอีซูซุก็สามารถผ่านอุปสรรคเดินทางถึงจุดหมายที่เมืองโพนสะหวันกลางดึก ถึงแม้จะเลยกำหนดการที่แจ้งไว้แต่สมาชิกคาราวานก็ยังคงมอบรอยยิ้มแล้วบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่เป็นไร อุปสรรคมีไว้แก้ไข”
เช้าอันสดใสที่ “เมืองโพนสะหวัน” จังหวัดเชียงขวาง แวดล้อมด้วยทิวทัศน์ของขุนเขาและผืนนาเขียวชอุ่ม อากาศเย็นสบาย หลังจากสูดอากาศอันบริสุทธิ์กันเต็มปอดแล้วก็ออกเดินทางไปชมความมหัศจรรย์ของ “ทุ่งไหหิน” แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดเชียงขวาง พื้นที่ที่เต็มไปด้วยไหหินรูปร่างแปลกตาขนาดต่างๆ กว่า 380 ใบ ซึ่งสันนิษฐานกันว่าเป็นไหหินโบราณที่สกัดมาจากหินทรายท้องถิ่นเพื่อไว้ใช้บรรจุศพในอดีต หรือไหหมักเหล้าของเจ้าเมืองสมัยก่อน สมาชิกต่างตื่นตาพร้อมถ่ายภาพกันอย่างสนุกสนาน แล้วพร้อมใจกันเดินทางต่อ แวะเก็บพลังงานกับอาหารพื้นบ้านที่เมืองกิ๋วกะจำ เพื่อตะลุยขุนเขากว่า 3,800 โค้งสู่จุดหมายต่อไปที่ “เมืองหลวงพระบาง” เมืองมรดกโลกอันมีชื่อเสียงของ สปป.ลาว ที่ยังคงสถาปัตยกรรมดั้งเดิมอันงดงาม อีกทั้งยังมี “ถนนคนเดิน” ให้สมาชิกได้จับจ่ายใช้สอยอุดหนุนสินค้าพื้นเมือง ทั้งผ้าซิ่น ผ้าถุง และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากผ้าที่สาวชาวลาวนั่งถักทอกันแบบสดๆ วางขายกันเป็นทิวแถวเป็นของขวัญของฝากกันแบบเต็มไม้เต็มมือ
อีกหนึ่งกิจกรรมไฮไลท์ที่เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวทุกคนก็คือการร่วมทำบุญ “ตักบาตรข้าวเหนียว” เพื่อเป็นศิริมงคลตามประเพณีของชาวหลวงพระบาง ซึ่งในทุกๆ เช้าจะมีพระภิกษุสงฆ์ออกมารับบิณฑบาตกว่า 300 รูป เป็นการปั้นข้าวเหนียวก้อนเล็กๆ ใส่ในบาตรพระสงฆ์ ส่วนอาหารคาวชาวบ้านจะนำไปถวายพระสงฆ์กันที่วัด อิ่มบุญกันแล้วก็ไปอิ่มตาอิ่มท้องกันที่ “ตลาดเช้าหลวงพระบาง” ที่จำหน่ายอาหารเช้าและอาหารพื้นบ้านนานาชนิดเรียงรายในซอยแคบๆ ทำให้ได้เห็นวิถีชีวิตของชาวหลวงพระบางอย่างเด่นชัด โดยมีร้านกาแฟโบราณ “ประชานิยม” เพิงร้านกาแฟเล็กๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ เป็นสถานที่ที่ทั้งชาวหลวงพระบางและนักท่องเที่ยวต้องแวะมาเยี่ยมเยือนกันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่สมาชิกประชาคมอีซูซุก็ต่างยอมยืนรอเพื่อลิ้มรสกาแฟโบราณของชาวลาวร้านนี้เช่นกัน
อิ่มท้องกันพอประมาณได้เวลาเยี่ยมชมความงดงามของตัวเมืองหลวงพระบาง เริ่มจากเข้าสักการะ “วัดเชียงทอง” วัดสำคัญคู่เมืองหลวงพระบางที่มีความงดงามมากที่สุด จนได้รับการยกย่องจากนักโบราณคดีว่าเป็นดั่ง “อัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาว” สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช นับเป็นสุดยอดแห่งสถาปัตยกรรมล้านช้างโดยแท้ ไกด์ลาวแนะนำให้สมาชิกขอพรจาก “พระม่าน” ซึ่งประดิษฐานอยู่ในโบสถ์ แต่ไม่ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม มีเพียงรูเล็กๆ ให้มองผ่านชมความงดงามและขอพรอยู่ด้านนอกเท่านั้น ต่อเนื่องด้วยการเข้าชม “พระราชวังหลวง” หรือ “หอพิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง” สถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างฝรั่งเศสและลาวอย่างลงตัว ซึ่งแต่เดิมเป็นพระราชวังหลวงที่พำนักของเจ้ามหาชีวิต โดดเด่นด้วยต้นตาลขนาดใหญ่ยืนเรียงแถวต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งซ้ายและขวา นำสายตาสู่พระราชวังได้อย่างโดดเด่น ด้านซ้ายเป็น “อนุสาวรีย์พระเจ้าศรีสว่างวงศ์” ด้านซ้ายเป็นที่ตั้งของ “หอพระบาง” ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเครื่องใช้ของเจ้ามหาชีวิตและพระบรมวงศานุวงศ์ มีการจัดสรรเส้นทางนำชมอย่างเป็นระเบียบ (เน้นว่าชมอย่างเดียวเพราะที่นี่ห้ามนักท่องเที่ยวถ่ายภาพ) และมีคำกำกับทั้งภาษาอังกฤษและภาษาลาวอยู่ทั่วทุกจุด ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ยังเป็นที่ประดิษฐานของ “พระบาง” พระพุทธรูปปางประทานอภัย หล่อด้วยสำริด อันเป็นพระพุทธรูปสำคัญของอาณาจักรล้านช้างอีกด้วย
เก็บเกี่ยววัฒนธรรมความงดงามแบบล้านช้างจากเมืองหลวงพระบางแล้ว ขบวนคาราวานแวะรับประทานอาหารกลางวันท่ามกลางทะเลหมอกที่เย็นสบาย ณ ร้านอาหาร “ภูเพียงฟ้า” ก่อนเดินทางเข้าสู่เขตเมือง “วังเวียง” ที่มี “ผาตั้ง” และ “แม่น้ำซอง” เป็นสัญลักษณ์ สลับกับผาหินปูนรูปร่างแปลกตา ไร่นาแบบขั้นบันได และป่าไม้นานาพันธุ์ตลอดเส้นทาง ก่อนจะเข้าที่พักในบรรยากาศสบายๆ ติดริมน้ำ พักผ่อนและเพลิดเพลินกับความงดงามของธรรมชาติที่มีหมอกปกคลุมตลอดทั้งปีจนได้รับการขนานนามจากนักท่องเที่ยวว่า “กุ้ยหลินแห่งเมืองลาว”
ปิดท้ายการเดินทางด้วยการแวะท่องเที่ยวชมความงดงามของ “ประตูชัย” สัญลักษณ์ของ “นครหลวงเวียงจันทน์” อนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงประชาชนชาวลาวผู้เสียสละชีวิตในสงครามก่อนหน้าการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ มีลักษณะสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากประตูชัยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ประตูชัยมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “รันเวย์แนวตั้ง” เพราะสร้างจากปูนที่อเมริกาซื้อมาเพื่อสร้างสนามบินใหม่ในนครเวียงจันทน์ แต่เกิดพ่ายแพ้สงครามจึงนำมาสร้างประตูชัยแทน จากนั้นเข้านมัสการ “พระธาตุหลวง” ศาสนสถานสำคัญที่สุดของชาวลาว เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติแทนความเป็นเอกราชและอำนาจอธิปไตยของประเทศลาว สมาชิกต่างสงบจิตใจเดินเวียนพระธาตุหลวงตามแบบฉบับชาวลาวเพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนจาก สปป.ลาว ด้วยการเลือกซื้อสินค้าปลอดภาษีที่ด่านชายแดน และเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยด้วยความปลอดภัยและกล่าวลาเพื่อนสมาชิกด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข
สำหรับ “อีซูซุ ซูเปอร์คอมมอนเรล คาราวานสัญจร” ปี 2012 เส้นทางไทย-ลาว นับเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่ควรค่าให้นักเดินทางได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ครบรสในการท่องเที่ยวรูปแบบคาราวานเป็นอย่างยิ่ง เหมือนที่ พ.อ.ศรานุชิต วานิชยาภรณ์ พร้อมด้วยภรรยาและ “น้องดีจัง” วัย 10 เดือน (รถหมายเลข14) สมาชิกอายุน้อยที่สุดขวัญใจในทริป บอกว่า “จริงๆ แล้วผมอยากเอารถอีซูซุคันใหม่นี้มาทดสอบว่าจะลุยได้ขนาดไหน ปรากฏว่าดีเยี่ยมในทุกสถานการณ์เลยครับ ผมเชื่อมั่นในรถและในทีมงานด้วย ประทับใจธรรมชาติสองข้างทางและชอบวัฒนธรรมของเขาที่ยังคงอนุรักษ์ไว้” ส่วนคุณสุวิทย์ เชี่ยวนาวิน (รถหมายเลข16) บอกว่า “เป็นไปตามที่ตั้งใจเลยครับ ประทับใจทั้งการดูแล การควบคุมคาราวาน การขับรถตลอดเส้นทางของผมไม่เหนื่อยและไม่ท้อเลย รู้สึกแฮ๊ปปี้ด้วยซ้ำเพราะมันเป็นประสบการณ์ชีวิต ผมพอใจกับการแก้ไขปัญหาต่างๆ และได้รับการบริการเป็นอย่างดี” ตบท้ายด้วยความประทับใจของแฟนคลับตัวจริงของคาราวานอีซูซุกับครอบครัวคุณวัชระ-สุชาญา โภคินธรณ์ และน้องเมจิ (รถหมายเลข15) “ผมไปกับคาราวาน อีซูซุมาหลายทริปแล้วครับ เส้นทางนี้หินสุดๆ แต่ก็สนุก และเป็นรสชาติของชีวิตด้วยครับ”
ส่วนประชาสัมพันธ์ สำนักงานองค์กรสัมพันธ์
บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด
โทร. 02-966-2127-9