MovieTHE POSSESSION มันอยู่ในร่างคน

ข่าวบันเทิง Monday August 20, 2012 17:23 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--20 ส.ค.--สหมงคลฟิล์ม ประเภท Horror กำหนดฉาย 30 สิงหาคม 2012 บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์ อำนวยการสร้าง แซม ไรมี่ (Drag Me to Hell, Evil Dead 1-3, Spider-Man 1-3) กำกับ โอเล่ บอร์เนดัล (Nightwatch, I Am Dina) เขียนบท จูเลียต สโนว์เด็น และ สไตล์ ไวท์ (Knowing) นำแสดง เจฟฟรี่ย์ ดีน มอร์แกน (The Losers, Watchmen, The Resident) เคียร่า เซ็ตวิก (ซีรี่ย์ The Closer, Man on a Ledge, Gamer) นาตาชา คาลิส (ซีรี่ย์ The Firm, Daydream Nation) เมดิสัน ดาเวนพอร์ต (Kit Kittredge: An American Girl, ซีรี่ย์ Shameless) “ผมอยากทำลายสิ่งนี้โดยไม่ต้องคิด แต่ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องเจอกับอะไรหลังจากนั้น" เนื้อเรื่อง ผลงานการสร้างจากสุดยอดผู้กำกับ แซม ไรมี่ (Drag Me to Hell, Evil Dead Trilogy) และผู้กำกับชาวเดนมาร์คที่โด่งดังในบ้านเกิด โอเล่ บอร์เนดัล (Nightwatch, The Substitute) ผสานพลังกันเล่าเรื่องราวสยองขวัญสุดขีด สร้างจากเรื่องจริงอันน่าสยดสยองของกล่องไม้ปริศนา ที่ปลดปล่อยความชั่วร้ายแห่งอดีตกาลสู่ศตวรรษที่ 21 เรื่องราวและประสบการณ์ของครอบครัวหนึ่งภายใน 29 วัน หลังจากพวกเขาได้รับกล่องไม้โบราณ โดยไม่รู้ตัวว่ามันมีปีศาจร้ายที่รอคอยที่จะเข้าครอบครองวิญญาณของมนุษย์ ความน่าสะพรึงกลัวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเบรเน็ค เริ่มต้นขึ้นจากงานเปิดท้ายขายของ ไคลด์ (เจฟฟรี่ย์ ดีน มอร์แกน) พ่อที่เริ่มคุ้นเคยกับชีวิตหลังจากการหย่าร้างกับภรรยา สเตฟานี่ (เคียร่า เซ็ตวิก) แต่ทุกอย่างก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อลูกสาวของเขา เอ็ม (นาตาชา คาลิส) ซื้อกล่องไม้โบราณที่เธอรู้สึกถูกชะตา และเมื่อเธอนำมันกลับมาบ้าน สิ่งที่แปลกประหลาดก็เริ่มต้นขึ้น เอ็ม เริ่มถูกกล่องไม้ใบนี้เข้าครอบงำ เธอถือมันไปด้วยทุกหนทุกแห่ง พฤติกรรมของเธอรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไคลด์ ไม่สามารถแยกเธอกับกล่องไม้นี้ออกจากกันได้ ในขณะที่ สเตฟานี่ คิดว่าลูกของเธอกำลังเสียสติ เหตุการณ์สยองและประหลาดเกิดขึ้นมากมายนับครั้งไม่ถ้วน จนในที่สุดก็พบกับความจริงเกี่ยวกับกล่องไม้ปริศนาใบนี้ เมื่อมันกักขัง "ดิ๊บบัค" ปีศาจในตำนานของชาวยิว ที่เข้าสิงร่างมนุษย์ และกัดกินดวงวิญญาณของผู้ใดก็ตามครอบครอง คำเตือน: อย่าเปิดกล่อง!! จุดเริ่มต้นการสร้าง จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ความกลัวลึกๆของทุกคนที่ไม่เคยจางหายไปก็คือ การถูกอะไรบางอย่างเข้าสิง แนวคิดที่ว่าร่างกายและจิตใจของคุณ ถูกควบคุมโดยพลังงานที่ไม่ใช่มนุษย์ ที่มีแผนการชั่วร้ายบางอย่าง โดยจุดประสงค์ของปีศาจหรือวิญญาณร้ายก็คือ การครอบครองดวงวิญญาณของเรา แต่ตัวที่มีความพิเศษสุดก็คือ ดิ๊บบัค ที่ถูกเขียนอยู่ในตำนานเล่าขานของชาวยิว ดิ๊บบัค (ที่แปลว่า "ยึดติด") ว่ากันว่าเป็นวิญญาณชั่วร้ายที่วนเวียนอยู่ในลิมโบ ที่จะเข้าสิงมนุษย์และครอบครองเป็นเจ้าของจิตวิญญาณ โดยเพื่อที่จะกักขังมันเอาไว้ แรบไบ (พระยิว) ก็สร้างกล่องไม้ที่เอาไว้ขังดิ๊บบัคเอาไว้ตลอดไป มันมีเรื่องราวของ ดิ๊บบัค ที่เล่าย้อนไปถึงในคำภีร์ไบเบิ้ล แต่มันก็กลายเป็นข่าวดังอีกครั้งในศตวรรษที่ 21 เมื่อปี 2004 นักข่าว เลสลี่ กอร์นสตีน ของหนังสือพิมพ์ ลอสแองเจลิส ไทมส์ ได้เขียนบทความถึงผู้ชายที่ประมูลกล่องไม้ปริศนามาจากอีเบย์ ที่ว่าเป็นว่ากักขัง ดิ๊บบัค ซึ่งสร้างความสยองให้เขาจนกระทั่งต้องการกำจัดมันทิ้ง ไม่ว่จะเป็นผมที่หลุดร่วงอย่างไร้สาเหตุ ฝันร้ายที่เกิดขึ้นกับคนในบ้าน อาการป่วยที่หาสาเหตุไม่ได้ การเห็นภาพสุดสยองหรือได้ยินเสียงที่อธิบายไม่ได้ โดยผู้ที่ครอบครองกล่องไม้ชิ้นนี้ทุกคน ต่างก็ยืนยันว่าเจอเหตุการณ์แปลกๆ กล่องไม้ชิ้นนี้ได้รับความสนใจจากผู้สนใจเรื่องลี้ลับจากทุกมุมโลก ก่อนที่มันจะถูกส่งไปให้ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ที่ชื่อ เจสัน แฮ๊กสตัน ซึ่งเขาก็เป็นคนเขียนที่รวบรวมเรื่องราวให้เป็นหนังสือ โดยทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับมัน ที่สืบไปถึงเรื่องเล่าของชาวยิวกับตำนานของ ดิ๊บบัค และพบว่ามันเป็นของผู้รอดจากเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวยิวอายุ 103 ปี ที่นำเอากล่องไม้นี้ข้ามน้ำข้ามทะเลมายังอเมริกา และเตือนลูกหลานของเธอว่าไม่ว่าจะยังไงก็ตาม... อย่าได้เปิดกล่องนี้เด็ดขาด เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงทำให้หลายคนสนใจ ซึ่งก็รวมถึง แซม ไรมี่ ผู้กำกับและอำนวยการสร้าง ที่สร้างชื่อจากการทำหนังสยองขวัญคลาสสิกอย่างไตรภาค Evil Dead และ Drag Me to Hell รวมถึงผลงานบล็อคบัสเตอร์ในไตรภาค Spider-Man ไรมี่ เป็นคนที่ชื่นชอบความกลัวที่มาจากจิตใต้สำนึก และเรื่องราวที่บังคับให้คนดูเผชิญหน้ากับความกลัวของตัวเอง และด้วยเรื่องราวของ ดิ๊บบัค ก็อาจทำให้หลายคนต้องขวัญผวา เขารู้สึกว่านี่คือเรื่องราวที่เหมาะแก่การนำมาทำเป็นหนังสยองขวัญ ที่จะทำให้คนดูนั่งไม่ติดกับเก้าอี้ และความกลัวที่จะติดไปกับพวกเขาหลังจากหนังจบ ไรมี่ เผยถึงจุดมุ่งหมายของการสร้าง The Possession ว่า "พวกเรามีชีวิตอยู่ด้วยความกลัวถึงสิ่งที่ยังไม่รู้ แน่นอนที่เราอยากรู้ว่าผีหรือปีศาจมีจริงหรือไม่ และอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่คุณตาย วิญญาณของคุณจะไปไหน ดังนั้นเมื่อผมได้ยินเรื่องราวของกล่องไม้ดิ๊บบัค และเรื่องเลวร้ายที่มันมอบให้กับใครก็ตามที่ครอบครองหรือเข้าใกล้ มันก็พุ่งตรงไปถึงแกนกลางของความกลัวและความอยากรู้อยากเห็นของพวกเรา ด้วยการอ้างอิงจากเหตุการณ์จริง พวกเราได้รับโอกาสในการสำรวจความสยองขวัญแบบคลาสสิก ด้วยมุมมองของเจเนเรชั่นใหม่" ผู้อำนวยการสร้าง โรเบิร์ต ทาเพิร์ต เสริมต่อว่า "เรื่องราวมีองค์ประกอบที่ใหม่และแปลก ซึ่งผมและ แซม ไม่เคยได้ยินหรือสัมผัสมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำนานเล่าขานของดิ๊บบัค มันมีความจริงที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด ซึ่งคุณสามารถหาอ่านได้จากอินเตอร์เน็ต มันทำให้โลกยุคเก่าและยุคใหม่เชื่อมต่อถึงกัน มันท้าทายความเชื่อของคุณ หลังจากได้อ่านเรื่องราวสุดสยองที่เกิดขึ้นรอบๆกล่องไม้ชิ้นนี้" ความน่าสะพรึงกลัวของกล่องไม้ใบนี้ ทำให้กระทั่งทีมงานสร้างจากสตูดิโอ Ghost House ของ แซม ไรมี่ รักษาระยะห่างกับกล่องไม้ของจริง เขาเผยว่า "ผมไม่เคยเห็นกล่องไม้ของจริงเลย และผมก็ไม่คิดที่จะเข้าใกล้มัน (หัวเราะ) เรื่องราวที่อยู่ในดินเตอร์เน็ตก็น่ากลัวพอแล้ว สิ่งสุดท้ายในโลกที่ผมต้องการทำก็คือ การนำมันกลับมาที่บ้านหรือออฟฟิศของผม สิ่งที่ผมต้องเผชิญหน้าอาจอันตรายเกินไป" ทีมงานผู้สร้างเริ่มที่จะหาแนวทางในการนำเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นกับกล่องใบนี้ มาเรียงร้อยเป็นพล็อตที่เกิดขึ้นในหนัง พวกเขาพบมันในบทภาพยนตร์ของ จูเลียต สโนว์เด็น และ สไตล์ ไวท์ โดย ไรมี่ เล่าว่า "พวกเขานำเรื่องราวที่น่ากลัวที่สุดของแต่ละคนมาทำให้เกิดกับครอบครัวเดียว และการเป็นครอบครัวก็ทำให้เราทุกคนเชื่อมถึง เมื่อเรื่องเลวร้ายต่างๆนาๆเกิดขึ้นกับพวกเขา มันก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าใกล้ตัวมากขึ้น" เรื่องราวที่สร้างจากเหตุการณ์จริง มักทำให้หนังสยองขวัญกลายเป็นที่จดจำเสมอ ไม่ว่าจะเป็น The Exorcist ที่ได้แรงบันดาลใจจากการไล่ผี ที่เกิดขึ้นนจริงในแมรี่แลนด์, The Amityville Horror ที่สร้างจากประสบการณ์ของ จอร์จ และ เคธี่ ลัซท์ ที่อาศัยอยู่ในบ้านที่เคยประกอบพิธีกรรมบูชาปีศาจ และ The Hills Have Eyes ที่อ้างอิงมาจากครอบครัวกินคนในสก็อตแลนด์ แซม ไรมี่ พูดถึงการนำเรื่องจริงมาเป็นแรงบันดาลใจว่า "เมื่อคุณรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมีเค้าโครงมาจากเหตุการณ์จริง มันก็ยิ่งทำให้คุณเกิดคำถามในใจและความกลัวมากยิ่งขึ้น" ในการตามหาตัวผู้กำกับ ทีมผู้สร้างก็พบกับตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด นั่นก็คือ โอเล่ บอร์เนดัล ผู้กำกับมือรางวัลชาวเดนมาร์ก ที่กลับมาทำหนังในอเมริกาอีกครั้ง หลังจากที่กำกับหนังสั่นประสาทเรื่องเยี่ยม Nightwatch ทาเพิร์ต เล่าว่า "แซม และผมคิดว่าการทำหนังสยองขวัญ ผู้กำกับจะต้องมีวิสัยทัศน์ที่ตรงกับบรรยากาศของมัน พวกเรารู้สึกว่า โอเล่ มีประสบการณ์ในการทำหนังอย่างที่เราต้องการ ในขณะที่ยังไม่ลืมการสร้างมิติให้กับตัวละคร เพื่อทำให้เรารู้สึกอินไปกับสิ่งที่ครอบครัวนี้ต้องเผชิญ" ไรมี่ ติดใจ บอร์เนดัล ตั้งแต่ที่เขาได้ดูผลงานการกำกับเรื่อง The Substitute หนังสยองขวัญสัญชาติเดนมาร์ก ที่ว่าด้วยเรื่องของครูสอนแทนที่มาจากต่างดาว เขาเล่าว่า "พวกเราชอบแนวทางที่เขาต้องการทำ The Possession โอเล่ เห็นว่าความกลัวและความระทึกขวัญมีรากฐานมาจากความสัมพันธ์ของมนุษย์ เขามีเซ้นส์ในเรื่องของตัวละคร และก็พยายามสร้างบรรยากาศรอบๆครอบครัวนี้ ที่ต้องรวมพลังและความเชื่อเพื่อเอาชนะปีศาจร้ายตนนี้" ตั้งแต่เริ่มแรก บอร์เนดัล รู้สึกตื่นเต้นไปกับเรื่องราวนี้ แต่ก็เหมือนกับทีมงานทุกคน เขายืนยันว่ากล่องของจริงจะต้องอยู่ห่างจากสถานที่ถ่ายทำมากที่สุด "ผมได้รับคำเชิญจากคนที่ครอบครองกล่องดิ๊บบัคในปัจจุบัน แต่ผมก็บอกปฏิเสธพวกเขาไป ผมได้ยินเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับมัน และรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะอยู่ใกล้กับของจริง" บอร์เนดัล พูดถึงแนวทางในการสร้างของเขาว่า "ผมต้องการตีความหนังแนวสยองขวัญให้แตกต่างออกไป สิ่งที่พวกเราต้องการทำก็คือการทำให้ตัวละครมีความเป็นมนุษย์ และแสดงให้เห็นว่าครอบครัวสมัยใหม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกับสิ่งที่อธิบายไม่ได้นี้เช่นไร ไม่เพียงแต่ที่พวกเราจะแสดงให้เห็นว่า เอ็ม ถูกเข้าสิงเป็นยังไง แต่เรายังมอบประสบการณ์ตรงของเด็กหญิง ที่พบว่ามีปีศาจร้ายอยู่ในร่างกายตัวเอง" ความสับสนภายในครอบครัวเบรเน็ค ที่พบว่าพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับ ดิ๊บบัค และดิ้นรนเพื่อที่จะเอาร่างของลูกสาวของพวกเขากลับคืนมา ผู้อำนวยการสร้าง เจ อาร์ ยัง เล่าว่า "ไม่มีอะไรที่ทรงพลังไปกว่าความต้องการที่จะอยู่รอดของมนุษย์ และ โอเล่ ก็ทำให้มันเป็นแก่นกลางของเรื่อง พวกเราต้องการให้คนดูดีดตัวจากที่นั่งทุกห้านาที แต่ในขณะเดียวกันเราก็อยากให้พวกเขาเดินออกจากโรง และมีอารมณ์ร่วมไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวนี้" ถึงแม้ว่ากล่องไม้ของจริงจะอยู่ไกลจากทีมสร้าง แต่เรื่องราวหลอนๆก็ยังเกิดขึ้น ยัง เล่าว่า "สิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นตลอดเวลาระหว่างเราถ่ายทำ อย่างตอนที่เราหาห้องที่จะใช้เป็นฉากไคลแม๊กซ์ของเรื่อง ทันใดนั้นหลอดไฟของสป็อตไลท์ก็ระเบิดและดับมืด เราเคยได้ยินว่า ดิ๊บบัค ก็เคยมีเรื่องที่ทำให้หลอดไฟระเบิดจริงๆ อย่างเจ้าของเก่าที่เป็นนักขายของสะสม วันหนึ่งเขาออกไปจากร้าน และกลับมาพบว่าหลอดไฟทุกดวงในร้านระเบิดหมด เมื่อคุณเชื่อมความสัมพันธ์แบบนี้ คุณก็จะเริ่มสงสัยว่าคิดถูกหรือเปล่าที่สร้างหนังเกี่ยวกับกล่องไม้ชิ้นนี้"
แท็ก เมเจอร์   Movie:   2012  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ