กรุงเทพฯ--24 ส.ค.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ของ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนการมีแหล่งกระแสเงินสดที่กระจายตัวทั้งจากธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารบริการด่วน รวมทั้งสถานะที่แข็งแกร่งในธุรกิจอาหารบริการด่วน และการมีโรงแรมที่มีความหลากหลายซึ่งล้วนมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการสนับสนุนจากกลุ่มเซ็นทรัลด้วย อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจโรงแรมที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและถูกกระทบได้ง่ายจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ รวมทั้งจากลักษณะของธุรกิจอาหารบริการด่วนที่มีอัตรากำไรต่ำ ทั้งนี้ อุตสาหกรรมทั้ง 2 ประเภทจัดว่ามีการแข่งขันที่รุนแรงเมื่อพิจารณาจากอุปสงค์ของจำนวนห้องพักในโรงแรมที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญและการทำการตลาดเชิงรุกในหมู่ผู้ประกอบการอาหารบริการด่วน
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะการแข่งขันที่แข็งแกร่งในแบรนด์สินค้าหลักทั้งในธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารบริการด่วน การดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นโดยเป็นไปในทิศทางเดียวกับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมและโรงแรมหลายแห่งก็แล้วเสร็จ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทหากยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องจะเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิต ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับเครดิต และ/หรือ อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเปลี่ยนหากบริษัทสามารถรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและสามารถบริหารจัดการโครงสร้างเงินทุนของบริษัทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซาก่อตั้งโดยตระกูลจิราธิวัฒน์ในปี 2523 เพื่อดำเนินธุรกิจโรงแรมแห่งหนึ่งในประเทศไทย ปัจจุบันบริษัทบริหารโรงแรมจำนวน 31 แห่งในประเทศและ 3 แห่งในต่างประเทศ ด้วยจำนวนห้องพักกว่า 6,077 ห้อง บริษัทมีโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของเองทั้งสิ้น 14 แห่ง โดย 2 แห่งเป็นเจ้าของในลักษณะของการร่วมทุน และ 1 แห่งอยู่ภายใต้กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ โรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของคิดเป็นสัดส่วน 60% ของจำนวนห้องทั้งหมด บริษัทบริหารงานโรงแรมภายใต้แบรนด์ “เซ็นทารา” และ “เซ็นทรา”
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซาดำเนินธุรกิจอาหารบริการด่วนภายใต้การบริหารงานของบริษัทในเครือคือ บริษัท เซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) โดยปัจจุบัน CRG ได้เปิดให้บริการอาหารบริการด่วนจำนวน 12แบรนด์ ซึ่งประกอบไปด้วยร้านอาหารภายใต้แฟรนไชส์จากต่างประเทศหลากหลายแบรนด์ และบริษัทมีแบรนด์ของตนเองคือ “ริว ชาบู ชาบู” และ “เดอะ เทอเรส” ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 บริษัทมีจำนวนสาขารวมทั้งหมด 634 แห่งทั่วประเทศ
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซามีรายได้จากธุรกิจอาหารคิดเป็นสัดส่วน 54%-60% ของรายได้รวมทั้งหมด ในขณะที่รายได้ส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจโรงแรม บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจากธุรกิจอาหารคิดเป็นสัดส่วน 35%-52% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายรวมทั้งหมดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2553 เป็นต้นมา ความต้องการห้องพักเพิ่มขึ้นเนื่องจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศที่สงบลง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 19.8% ในปี 2554 และเพิ่มขึ้น 7.6% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อัตราการเข้าพักโรงแรมของบริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซาปรับตัวดีขึ้นจาก 58.1% ในปี 2553 เป็น 63.9% ในปี 2554 และอยู่ที่ระดับ 70.0% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 ทั้งนี้ จากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) อัตราการเข้าพักโรงแรมในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 50.2% ในปี 2553 เป็น 58.0% ในปี 2554 และอยู่ที่ระดับ 62.3% ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2555 ส่วนอัตรารายได้ต่อห้องพักที่มีอยู่ของบริษัท (Revenue Per Available Room -- RevPAR) โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 1,981 บาทต่อวันในปี 2553 เป็น 2,340 บาทต่อวันในปี 2554 และ 2,745 บาทต่อวันในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 การเพิ่มขึ้นดังกล่าวบางส่วนเกิดจากราคาที่สูงขึ้นของห้องพักของโรงแรมใหม่ของบริษัทที่เปิดในช่วงปี 2553-2554 เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 นั้นไม่มีรายงานความเสียหายในส่วนของโรงแรมของบริษัทแต่อย่างใด มีเพียงยอดขายที่ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากการยกเลิกการจองเข้าพักเท่านั้น
ในปี 2554 รายได้ของบริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซาเพิ่มขึ้นถึง 22% สู่ระดับ 11,163 ล้านบาทเนื่องจากรายได้จากธุรกิจอาหารเพิ่มขึ้นถึง 24% ในขณะที่รายได้จากธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้น 20% จากการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากโรงแรมใหม่หลายแห่งที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ รายได้รวมของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 เพิ่มขึ้นถึง 29% เมื่อเทียบกับปีก่อน สู่ระดับ 7,061 ล้านบาทเนื่องจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมถึงการซื้อแบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่น “โอโตยะ” ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2554 อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้นจากระดับ 16.2% ในปี 2553 เป็น 18.6% ในปี 2554 เนื่องจากการปรับปรุงอัตรากำไรในธุรกิจอาหารและและธุรกิจโรงแรม โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ที่ 21.5%
เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากจาก 1,158 ล้านบาทในปี 2553 เป็น 1,548 ล้านบาทในปี 2554 และอยู่ที่ระดับ 1,242 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 เนื่องจากโรงแรมใหม่หลายแห่งก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งส่งผลให้สภาพคล่องของบริษัทปรับตัวดีขึ้น โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นจาก 10.8% ในปี 2553 เป็น 13.7% ในปี 2554 และอยู่ที่ระดับ 10.4% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นจากระดับ 4.9 เท่าในช่วงปี 2552-2554 เป็น 6.1 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2555
โครงสร้างเงินทุนของบริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซาอ่อนแอลงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากการขยายตัวในธุรกิจโรงแรม โดยบริษัทใช้เงินทุนมากกว่า 12,500 ล้านบาทเพื่อลงทุนและก่อสร้างโรงแรมในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่ง เช่น กรุงเทพฯ กระบี่ พัทยา ภูเก็ต และเกาะมัลดีฟ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นสูงกว่า 60% ตั้งแต่ปี 2552 โดยอัตราส่วนดังกล่าวขึ้นสู่ระดับสูงสุดที่ 65% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2554 และลดลงเล็กน้อยเหลือ 64% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 ในระยะปานกลางคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะลดลงเนื่องจากบริษัทสามารถใช้เงินทุนจากการดำเนินงานบางส่วนมาลงทุนในอนาคต โดย ณ เดือนมีนาคม 2555 บริษัทมีวงเงินสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ประมาณ 2,000 ล้านบาท ทริสเรทติ้งกล่าว
บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) (CENTEL)
อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ A-
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
CENTEL163A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 คงเดิมที่ A-
CENTEL163B: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 คงเดิมที่ A-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่)