กรุงเทพฯ--10 ส.ค.--ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ศูนย์รับฝากฯ มั่นใจไร้อุปสรรคในการปรับลดเวลาชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์จาก T+3 เป็น T+2 หลังหารือสมาคมบล. สมาคมบลจ. และชมรมคัสโตเดียน ย้ำทุกฝ่ายได้ประโยชน์เพราะระบบใหม่ช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มสภาพคล่อง เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการทำงาน
นางนงราม วงษ์วานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการเตรียมการในเรื่องการปรับลดระยะเวลาการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์จากT+3 เป็น T+2 ว่า การดำเนินการมีความคืบหน้าไปมากและพร้อมที่จะเริ่มใช้ได้ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นไป โดยศูนย์รับฝากฯ ได้เชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ สมาคมบริษัทจัดการการลงทุน และชมรมคัสโตเดียน ร่วมหารือเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการลดระยะเวลาการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ให้สามารถดำเนินการได้ภายในปี 2548
“การปรับลดเวลาชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์จาก T+3 เป็น T+2 จะช่วยให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งบริษัทสมาชิก คัสโตเดียน และผู้ลงทุน ทั้งในส่วนของการส่งเสริมสภาพคล่องในตลาดทุน การลดความเสี่ยงในการชำระราคาและส่งมอบทั้งระบบ และเป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งการประชุมกับผู้ที่เกี่ยวข้องในครั้งนี้ ที่ประชุมได้กำหนดแนวทางเพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระราคาและส่งมอบของคัสโตเดียนและผู้ลงทุนต่างประเทศ โดยเพิ่มช่องทางให้ผู้ลงทุนนำใบหลักทรัพย์เข้าฝากในระบบผ่านบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ได้ นอกเหนือจากการฝากผ่านบริษัทหลักทรัพย์และคัสโตเดียนที่เป็นลูกค้า เพื่อให้ระบบไร้ใบหลักทรัพย์มีความสมบูรณ์มากขึ้น (Scripless 100%) โดยปัจจุบันมีใบหลักทรัพย์ฝากอยู่ในระบบไร้ใบหุ้นประมาณร้อยละ 63” นางนงรามกล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ปรับเปลี่ยนวิธีการแจ้งยืนยันรายการซื้อขายหลักทรัพย์ (Trade Confirmation) เพื่อให้สะดวกและรวดเร็วขึ้น จากปัจจุบันที่ใช้วิธีจัดส่งเอกสารทางไปรษณีย์ให้แก่ผู้ลงทุน เป็นให้สามารถส่งผ่านโทรศัพท์ โทรสาร การส่งข้อความผ่านทางมือถือ (SMS) หรือใช้ช่องทาง electronics อื่นๆ เช่น E-mail และ Internet ได้ด้วย โดยจะอนุญาตให้เฉพาะบริษัทหลักทรัพย์ที่มีระบบรองรับในเรื่องลายมือชื่ออิเลคทรอนิคส์ (E-Signature) และระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Data Encryption) ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ใดจะใช้วิธีการใหม่นี้ต้องมีการทำข้อตกลงกันระหว่างบริษัทหลักทรัพย์และลูกค้า
กรรมการผู้จัดการศูนย์รับฝากฯ กล่าวต่อไปว่า “ที่ประชุมยังได้ปรับปรุงวิธีการชำระราคาค่าซื้อหลักทรัพย์ของผู้ลงทุน โดยกำหนดมาตรการส่งเสริมให้ผู้ลงทุนมีการใช้ระบบการโอนเงินผ่านธนาคาร(Electronic Fund Transfer : EFT) มากขึ้น เพื่อลดการใช้เช็ค และเพิ่มประสิทธิภาพ และความรวดเร็วในการทำงาน นอกจากนี้ยังได้มีการปรับปรุง ข้อกฎหมายต่างๆ ที่อาจเป็นอุปสรรคให้มีความสอดคล้องและสามารถรองรับการดำเนินการในเรื่องการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์จากT+3 เป็น T+2 ได้ดียิ่งขึ้น
ศูนย์รับฝากฯ จะได้ทำงานร่วมกับระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องโดย จะนำประเด็นต่างๆ ที่ได้มีการประชุมกันไปหารือ ซึ่งคาดว่าจะสามารถลดระยะเวลาการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์จาก T+3 เป็น T+2 ได้ตามกำหนดการเดิมในต้นปี 2548 นี้ ”
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อส่วนสื่อมวลชนสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กร :
ลดาวัลย์ กันทวงศ์ โทร. 0-2229 - 2036 /
กุลวิดา จินตกะวงส์ โทร. 0-2229 - 2037 /
ณัฐพร บุญประภา โทร. 0-2229 - 2049--จบ--
--อินโฟเควสท์ (นห)--