กรุงเทพฯ--31 ส.ค.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศปรับเพิ่มอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET เป็น ‘AA(tha)’ จาก ‘AA-(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ ในขณะเดียวกันฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตระยะสั้นภายในประเทศของ MBKET ที่ ‘F1+(tha)’
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตสะท้อนถึงการที่ฟิทช์ได้ทำการทบทวนระดับการสนับสนุนจากธนาคารแม่ของกลุ่ม คือ Malayan Banking Berhad หรือ Maybank (อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวที่ ‘A-’/ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) ที่ให้แก่ MBKET อันดับเครดิตของ MBKET มีพื้นฐานมาจากการที่กลุ่ม Maybank ถือหุ้น 83.7%ในบริษัท รวมทั้งการสนับสนุนที่บริษัทจะได้จาก Maybank ทั้งนี้นับตั้งแต่ปลายปี 2554 ได้มีความร่วมมือในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นระหว่างบริษัทและ Maybank และการสนับสนุนที่มากขึ้น ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนชื่อบริษัท จากบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มาเป็น MBKET นอกจากนั้น นโยบายการดำเนินงานของแผนกหลัก เช่น การบริหารจัดการความเสี่ยง การกำกับและควบคุม ก็ได้มีการปรับให้สอดคล้องกับนโยบายของกลุ่ม Maybank
ในปัจจุบันการสนับสนุนทางการเงินที่ MBKET ได้รับจากกลุ่มประกอบด้วย การค้ำประกันวงเงินสินเชื่อโดย Maybank Kim Eng Holdings Limited หรือ MBKEH ซึ่งเป็นบริษัท holding company ของกลุ่มธุรกิจวาณิชธนกิจของ Maybank ที่บริษัทมีกับธนาคารแห่งหนึ่งในประเทศไทย นอกจากนี้ MBKEH ยังมีวงเงินจาก medium term note program ที่สามารถใช้ในการสนับสนุนทางการเงินให้กับบริษัทในกลุ่มซึ่งรวมถึง MBKET อีกด้วย
อันดับเครดิตของ MBKET สะท้อนถึงการสนับสนุนจาก Maybank ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของอันดับเครดิตของ Maybank จะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของ MBKET ทั้งนี้อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ MBKET มีความเกี่ยวเนื่องกับอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของ Maybank และเป็นอันดับเครดิตที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทย การลดลงอย่างมีนัยสำคัญของสัดส่วนการถือหุ้นของ Maybank และ/หรือ ระดับการให้การสนับสนุนแก่ MBKET อาจทำให้อันดับเครดิตของ MBKET ถูกปรับลง ในทางกลับกัน การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความสำคัญของ MBKET ในกลุ่ม Maybank ซึ่งอาจเห็นได้จากการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของขนาดสินทรัพย์ของ MBKET รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของรายได้และสัดส่วนการทำกำไรเทียบกับกำไรของกลุ่ม หรือการเพิ่มขึ้นของความร่วมมือในการดำเนินงานระหว่าง MBKET และ Maybank อย่างมีนัยสำคัญ อาจส่งผลให้อันดับเครดิตภายในประเทศของ MBKET เพิ่มขึ้น
ผลการดำเนินงานของ MBKET ปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 โดยมีกำไรสุทธิที่ 354 ล้านบาท และ อัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น ที่ 16.2% เทียบกับ 375 ล้านบาท และ 16.7% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 ซึ่งมีผลมาจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากการเปิดเสรีค่านายหน้าค้าหลักทรัพย์เต็มรูปแบบตั้งแต่ต้นปี 2555 อัตราส่วนการดำรงเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ หรือ NCR (อัตราส่วนตามเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. กำหนดเพื่อตรวจสอบสภาพคล่องของบริษัทหลักทรัพย์) ลดลงค่อนข้างมากมาอยู่ที่ 86% ณ สิ้นเดือนมิถุนายนปี 2555 เทียบกับ 146% ณ สิ้นปี 2554 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของเงินกู้ยืมซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในการสนับสนุนธุรกิจในด้านการให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ในขณะที่ MBKET มีแผนที่จะเพิ่มระดับหนึ้สินเพื่อที่จะสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจและเพิ่ม ROE ให้สูงขึ้น ทางบริษัทได้มีการกำหนด NCR ขั้นต่ำไว้ที่ 50% ซึ่งก็ยังสูงกว่าตามเกณฑ์ที่ ก.ล.ต.กำหนดไว้ที่ 7% อยู่มาก
MBKET มีเครือข่ายธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ในประเทศที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะเห็นได้จากการที่บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดในด้านปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่สูงที่สุดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 10 ปี ทั้งนี้บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 12.1% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 ธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ยังคงเป็นธุรกิจหลักของ MBKET อย่างไรก็ตามทางบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มรายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจ การบริหารการเงินส่วนบุคคล และการเสนอขายผลิตภัณฑ์ทางการเงินประเภทอื่นเพิ่มขึ้น Maybank เป็นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศมาเลเซีย และมีเครือข่ายธุรกิจครอบคลุมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีขนาดของสินทรัพย์รวม 154 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ สิ้นเดือนมิถุนายนปี 2555 หน่วยงานรัฐของรัฐบาลมาเลเซียถือหุ้นเกือบ 70% ใน Maybank