กรุงเทพฯ--4 ก.ย.--สหมงคลฟิล์ม
บทบาท-คาแร็คเตอร์
เรื่องนี้ผมรับบทแป็น “เคน กระทิงทอง” ครับ นิสัยบุคลิกส่วนตัวแล้วจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเสมอ และก็จะชอบแต่เรื่องมีความสุข เป็นคนที่ไม่คิดมาก เป็นคนที่จะรับแต่เรื่องดีๆ ส่วนเรื่องร้ายๆ ก็จะพยายามไม่รับ พยายามเริ่มใหม่ในสิ่งที่ดี พยายามที่จะคิดในแง่บวกอย่างเดียว เป็นคนที่ยิ้มง่าย เวลาเจอเรื่องร้ายๆ แม้จะเป็นตอนที่เจออะไรที่อันตรายหรือเจอโจรก็จะยิ้มตลอด ก็คือเราจะรู้ว่าเรามีฝีมือทางด้านแอ็คชั่นต่อยมวย ก็คือจะเห็นจากฉากเปิดตัวเคนด้วยฉากต่อยมวย ก็จะปูเลยว่าตัวละครตัวนี้เป็นคนที่ต่อยมวยเก่งและก็เจอคู่ต่อสู้ที่เก่งขนาดไหนเราสู้ได้แน่นอน เป็นคนที่ไม่กลัวอะไรเลย
เคน กระทิงทองจะเป็นลูกของ “แม่พุ่ม” (ชุดาภา จันทเขตต์) หัวหน้าแม่ครัวในบ้านของคุณหลวง คือเราจะโตกว่าคุณจันประมาณหนึ่งปี และพอคุณจันเกิดมาเนี่ยแม่ก็ตายพ่อก็ไม่รัก และก็ไม่มีใครอยู่กับคุณจันเลย ก็มีแต่ “น้าวาด” (บงกช คงมาลัย) แม่พุ่มแม่ของเคน และก็ตัวเคนเองที่คอยดูแลเลี้ยงดูคุณจันตั้งแต่ขวบหนึ่งเลย ก็จะไกวเปลให้คุณจัน จะดูแลคุณจันมาตลอดจนถึงตอนโตไปจนแก่ก็อยู่กับคุณจันมาตลอดเวลาเลยครับ จะเป็นทั้งเพื่อน ทั้งพ่อ ทั้งพี่ชาย ทั้งบอดี้การ์ดคอยดูแลคุณจันตลอด เคนจะเป็นคนที่ตรงข้ามกับคุณจันโดยสิ้นเชิงเลย ก็จะเป็นคู่หูกัน คุณจันก็อาจจะเหมือนพวกที่ใช้สมอง เคนก็จะเป็นคนที่ใช้กำลัง คือแตกต่างกันสุดขั้วทางด้านนี้ครับ
ความยากง่ายของบทนี้
ความยากง่ายก็คือ เราต้องเล่นตั้งแต่หนุ่มจนแก่และก็เป็นหนึ่งในคนที่ดำเนินเรื่องทั้งเรื่อง ความยากมันยากมากอยู่แล้วยิ่งต้องเล่นตั้งแต่หนุ่มจนแก่ มันต้องเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างเพิ่มมากขึ้นเยอะ แต่ว่าตอนที่เป็นวัยรุ่นอาจจะง่ายหน่อยเพราะว่าเราเคยผ่านมาแล้วในช่วงวัย 17-18 จนมาถึง 22 ในชีวิตจริงคือเราเคยผ่านมาแล้ว แต่มันก็ยากตรงที่คนสมัยก่อนกับคนสมัยปัจจุบัน การดำเนินชีวิตทั่วไป ชีวิตแต่งงานมีลูก ชีวิตวัยทำงานเนี่ยมันแตกต่างกัน บางทีคนสมัยก่อนอาจจะไม่ได้ไปโรงเรียน แบบเคนเป็นคนรับใช้ในบ้านก็ไม่ได้ไปเรียนหนังสือ ชีวิตมันแตกต่างกัน ต้องทำงานตั้งแต่เด็กก็ไม่มีโอกาสที่จะไปเรียน อย่างที่แต่งงานมีลูกเร็ว เราก็ต้องศึกษาตรงนั้นว่าคนสมัยก่อนทำไมเขาถึงทำแบบนี้ คิดอย่างไร ก็คือจะมีหม่อมน้อยคอยบรีฟเรื่องแบ็คกราวด์อยู่เสมอ และก็พอมาถึงช่วงวัยทำงานบริษัทก็จะโตกว่าชีวิตจริงหน่อยนึง เราก็ต้องดูว่าคนที่เขาไปทำงานเขามีความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้นยังไง และก็ต้องคุมทั้งบริษัทด้วย แต่พอถึงตอนแก่ก็ถึงจุดที่ยากที่สุดคือจะห่างจากชีวิตของเราไปอีกนานเลย เพราะว่าเราเองก็เพิ่งจะอายุ 22 ยังไม่ถึงครึ่งชีวิตของมนุษย์เลย ก็ต้องศึกษาค่อนข้างเยอะ และผมก็ดูตัวอย่างจากคุณปู่วัยประมาณ 80 ต้นๆ ว่าคุณปู่มีลักษณะยังไง การเดิน การพูดคุย หรือว่าสิ่งต่างๆ ที่เขาใช้ในชีวิตประจำวันคืออะไร แต่ว่าหม่อมจะบอกว่าเคนจะแตกต่างจากคนแก่คนอื่นนิดนึงก็คือเคนจะเป็นคนที่ค่อนข้างสุขภาพดีทั้งกายและใจไม่เหมือนคนอายุ 90 แต่จะเหมือนคนอายุ 60-70 เท่านั้น
การเตรียมตัวก่อนการถ่ายทำเรื่องนี้
เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกและเรื่องเดียวที่ผมค่อนข้างได้รับการเตรียมตัวค่อนข้างนานเป็นพิเศษ และก็จริงจัง และก็ทุ่มกับมันเกินร้อยเลย คือผมได้มีโอกาสเรียนคลาสแอ็คติ้งกับหม่อมเป็นประจำอยู่แล้วครับ พอหม่อมปิดกล้องเรื่อง “อุโมงค์ผาเมือง” ที่ผมเล่นเป็นพี่ชายมาริโอ้ หม่อมก็เริ่มทำ “จันดารา” เลย เพราะเป็นเรื่องที่หม่อมอยากจะทำมานานแล้ว และหม่อมก็ถามว่า นิวสนใจเล่นมั้ย ผมก็บอกว่าผมไม่เคยดูเวอร์ชั่นเก่านะว่าเป็นอย่างไร ผมรู้แค่เมื่อก่อนว่าเป็นหนังดังมากในอดีต เคยได้ยินแต่ไม่เคยชมครับ หม่อมบอกไม่เป็นไรไม่ต้องกลัว เพราะว่าเวอร์ชั่นนี้หม่อมอ่านหนังสือแล้วเขียนบทใหม่อยู่แล้ว และช่วงเวลาที่หม่อมเขียนบทเนี่ย ก็ให้เราเข้าไปอ่านบทดู เขียนไปได้เท่าไรก็ลองอ่านดู ลองอ่านบทดูถึงตัวละครคาแร็คเตอร์ว่าเราเหมาะสมไหม และพอเราอ่านไปได้สักพักหนึ่ง หม่อมว่านิวก็เหมาะสมน่าเล่น เล่นได้ และพอหม่อมเขียนบทเสร็จแล้วเนี่ยก็เรียกเราเข้าไปอ่านดูและซ้อมกับบทจริงๆ เลยว่าคาแร็คเตอร์จะเป็นยังไง ฉากนี้ควรจะเป็นยังไง คิดยังไง บางทีก็มีมาริโอ้เข้ามาซ้อมด้วย มาซ้อมกับเป็นคู่ มีพี่เจี๊ยบ ศักราช มีนักแสดงหลายๆ คนเข้ามาลองเทสต์บทดูและก็อ่านบทดู ทำให้การแสดงในเวลาจริงมันเร็วขึ้นและก็ง่ายขึ้นเยอะ เพราะก่อนที่จะถ่ายทำเรามีเวลาในการซ้อมก่อนประมาณ 5-6 เดือนได้ รวมถึงผมได้เข้าไปเรียนคิวบู๊กับทีมพี่พันนา เพราะหม่อมบอกว่าจะมีคิวบู๊ด้วยประมาณ 2-3 คิว มีคิวชกมวย คิวไปช่วยคุณจันอะไรอย่างนี้ ก็เข้าไปซ้อมคิวก่อนเพื่อที่จะได้สมบูรณ์ที่สุดออกมาสวยที่สุด เพราะเราไม่เคยเล่นคิวบู๊อย่างจริงๆ จังๆ และอันนี้เป็นคิวบู๊ที่จริงจังมากครับ ก็ไปซ้อมกับพี่พันนาเลย รวมถึงในการฟิตหุ่น เพราะว่าในคาแร็คเตอร์ของเคน กระทิงทอง เป็นผู้ชายในบ้านที่เป็นคนสมัยก่อน เป็นคนใช้ในสมัยก่อนเขาไม่ใส่เสื้อผ้า คือจะใส่นุ่งเตี่ยวหรือผ้าตัวเดียวทุกวัน ทั้งวันที่อยู่ที่บ้านคือเราจะไม่ใส่เสื้อเลย ยกเว้นเวลาที่เราออกไปข้างนอก ออกไปตลาด ออกไปซื้อของ เรื่องหุ่นก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะสำคัญมาก และก็จะเทรนเข้าคอร์สฟิตเนสก่อนการถ่ายทำจริงจังเลยประมาณ 3-4 เดือน ก่อนถ่ายทำ ผมมีทั้งการเข้าคอร์สฟิตเนสโดยพี่ที่เป็นทีมชาติทางด้านฟิตเนสเลย ไปเข้าคอร์สกับเขาเลย มีทั้งการเล่นอย่างถูกต้อง เล่นสม่ำเสมอ แบ่งส่วนในการเล่นอย่างถูกต้อง ออกกำลังกายอย่างถูกต้องรวมถึงการคุมอาหารด้วยครับ คือเขาจะมีการคุมอาหารให้ทานแบบเป็นช่วงเวลา และก็ในปริมาณที่เหมาะสมที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการของนักฟิตเนสโดยเฉพาะ
การแปลงโฉมให้เป็นตัวละครในเรื่องนี้
พูดถึงการเมคอัพและทรงผมนะครับ ก็คือในตอนที่เป็นวัยรุ่นก็คือที่เราเปิดตัวประมาณสัก 16-17 ก็จะเป็นเมคอัพที่บางหน่อยแต่เนียน และก็จะมีการเติมแผลอยู่ตลอดเวลา เพราะเราเป็นพวกที่ค่อนข้างจะต่อยตีกับคนอื่นบ่อย ส่วนทรงผมเป็นทรงที่ง่ายๆ ที่ผมชอบมาก ตอนวันรุ่นจะเป็นทรงแบบเซอร์ๆ หน่อย ก็ใช้เจลหรือแว็กซ์เสยขึ้นตกๆ ลงมาสองข้างแล้วก็ฉีดน้ำให้เปียกๆ หน่อยอยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนเป็นทรงนักกีฬาในสมัยก่อน แต่ว่าจะเป็นแฉกสองข้างลงมา ก็จะเป็นภาพที่ย้อนยุคกลับไปใช้เวลาในการเซ็ตที่น้อยมาก คือผมชอบมากตรงนี้ พอโตขึ้นมาแล้วก็จะมีจุดหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิต ก็ต้องเปลี่ยนทรงผมเปลี่ยนเมคอัพด้วย ก็คือช่วงที่เราเริ่มจะแต่งงาน และช่วงที่เราทำงานบริษัท โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เรียบร้อยมากขึ้น ถ้าสังเกตดีๆ ก็จะมีเปลี่ยนรองพื้นเปลี่ยนเมคอัพด้วย เปลี่ยนสีของเมคอัพด้วย คือจะโตยิ่งขึ้นจะมีการเติมรอยบนหน้าผากหรือตามที่ต่างๆ ถ้าคนสังเกตจะเห็นได้ชัด รวมถึงทรงผมที่เปลี่ยนไปอีกทรงหนึ่ง เป็นทรงเป๋หนึ่งข้าง เป๋ข้างเดียวก็จะเรียบและก็เรียบร้อยครับ จะเห็นได้ชัดว่าเคนจะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น พอมาถึงช่วงวัยชราวัยแก่อะไรอย่างนี้ก็มีการเมคอัพนานพอสมควรเลย วันแรกที่ถ่ายวัยชราเลยเนี่ยก็จะมีนัดไปตั้งแต่เช้าเลย ไปเมคอัพแต่งหน้าทำผมก่อนเลย วันนั้นแต่งหน้าทำผมไปประมาณ 5-6 ชั่วโมงได้ทั้งผมและมาริโอ้นะครับ คือคนแก่เนี่ยรายละเอียดบนใบหน้ามันค่อนข้างละเอียดอ่อนและเยอะมาก ก็จะมีรอยย่น รอยกระ รอยหลายๆ อย่างที่ผ่านมาในชีวิต รวมถึงผมขาวและก็ใส่วิก การเชื่อมวิกเข้ากับหน้าเรา หลายๆ อย่างเลยรวมไปถึงคอและมือด้วย ถ้าสังเกตดีๆ มือก็จะเมคอัพด้วยเหมือนกัน มือก็กลายเป็นแบบมือย่น มือเหี่ยวแบบคนแก่เลย การเมคอัพผมพูดได้เลยว่าพี่ขวด (มนตรี วัดละเอียด) ทำรีเสิร์ชมาละเอียดมากจนแต่งออกมาได้สมบทบาทดีมากครับ
บทนี้มีส่วนเหมือนหรือต่างจากตัวจริงอย่างไรบ้าง
ส่วนเหมือนของบทเคน กระทิงทองกับตัวนิวเอง อาจจะเป็นตอนแรกที่ใกล้เคียงกัน เป็นวัยที่เล่นมากที่สุดของเรื่องนี้ คือวัย 18-20 ต้นๆ ก็จะตรงกับชีวิตจริงที่ผมอายุประมาณ 22 เฉลี่ยแล้วคนประมาณนี้วัยใกล้เคียงกัน รวมถึงเคนเป็นคนขี้เล่น ทะเล้น และก็เหมือนชอบแกล้งเพื่อน ส่วนตัวผมก็เป็นคนที่ชอบแกล้งเพื่อน เวลาอยู่กับเพื่อนเนี่ยจะเป็นคนค่อนข้างพูดเยอะและก็จะแกล้งเพื่อนอยู่ตลอดเวลา ก็จะเหมือนเคนที่ชอบแกล้งคุณจันอยู่ตลอดเวลาครับ และก็เป็นคนที่ชอบเล่นกีฬาเหมือนกัน กีฬาที่เคนชอบก็จะเป็นต่อยมวย ผมก็จะชอบเล่นกีฬาเหมือนกัน แล้วเคนก็ชอบไปเที่ยวเล่นใกล้ๆ บริเวณบ้าน ชอบสำรวจบ้านตามซอกมุมต่างๆ ตามตลาดครับ คือเคนจะชอบเดินเที่ยวไปเรื่อย เพราะในเรื่องเนี่ยเคนเป็นคุมแถวนั้นก็ว่าได้เพราะว่าต่อยมวยเก่งก็จะคุมอยู่แถวนั้น เหมือนกับผมตรงที่ชอบเดินทางไปไหนหลายๆ ที่ชอบสำรวจในเรื่องต่างๆ แต่ที่บ้านผมอาจจะไม่ได้เป็นคนคุมเท่านั้นเอง ก็จะแตกต่างกันตรงนั้น
และก็เรื่องที่แตกต่างมากที่สุดก็คือ เรื่องผู้หญิงของเคนเนี่ยจะมาเป็นอันดับหนึ่งเลยก็ว่าได้ คือเคนจะมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงหลายๆ ด้านและก็หลายๆ คน และก็จะเหมือนใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานโดยที่ไม่สนอะไรเท่าไหร่ เป็นคนไม่คิดมาก โดยส่วนจะแตกต่างจากผมตรงที่เป็นคนที่คิดมากและก็จะไม่ค่อยปล่อยวางกับเรื่องต่างๆ จะชอบเก็บเอามาคิดโดยเฉพาะเรื่องในอดีต ชอบเก็บมาคิดอยู่คนเดียวเสมอ ทำให้ตรงนี้เป็นสิ่งที่หม่อมท่านก็ทราบอยู่แล้วว่าผมเป็นแบบนี้ก่อนที่จะเล่นอยู่แล้ว ก่อนเข้าคลาสเนี่ยก็จะให้ผมสงบสติและก็อยู่กับปัจจุบัน และก็พยายามตัดสิ่งในอดีตให้ได้เวลาที่อยู่ในคลาสนะครับ พอเข้ามาถ่ายจริง หม่อมก็จะให้ใช้เทคนิคในห้องนั้นมาใช้ในตอนถ่ายจริง ตัดสิ่งในอดีตออกไปและก็อยู่ปัจจุบันให้มากที่สุด ก็คือเคนจะอยู่กับปัจจุบันมากและก็มองโลกในแง่ดีอย่างเดียวเลย และก็ยิ้มแย้มกับทุกๆ สถานการณ์ที่เกิดขึ้น
อุปสรรคปัญหาในการแสดง
อุปสรรคตอนถ่ายค่อนข้างที่จะะน้อยมากจนเรียกได้ว่าไม่มีเลยก็ว่าได้สำหรับ เคน กระทิงทองในวัยหนุ่ม แต่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นชัดๆ ก็มีเหมือนกันครับปัญหาค่อนข้างใหญ่เหมือนกัน อันแรกปัญหาที่เกิดกับตัวผมอันดับแรกเลยคือเป็นคิวบู๊เป็นคิวเปิดตัวต่อยมวย ก็คือตอนที่ไปซ้อมกับพี่พันนากับทีมสตั๊นต์แล้วเนี่ย ก่อนถ่ายทำจริงเรามีการซ้อมกันก่อนก็คือตามคิวเป๊ะๆ แต่พอเข้าไปถ่ายจริงในบ่ายวันนั้นเนี้ย มันเกิดอาการอะไรไม่รู้ที่ผมค่อนข้างที่จะงงตัวเองเหมือนกันคือ ลืมคิวว่าจะเตะก่อนหรือต่อยก่อนหรือะไรก่อน เราเบลอด้วยหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง ก็คือกล้องมาอยู่ตรงหน้าเรา แดดแรงมากวันนั้น เสียงคนเชียร์กระหึ่มมาก และเราไม่สามารถตัดได้ในสิ่งที่หม่อมเคยสอนในทุกๆ ฉาก คือตัดออกไปแต่ไม่สามารถทำได้ เรากลับไปคิดว่าทุกคนก็หวังไว้กับเราเยอะในฉากบู๊ หม่อมคาดกับเราไว้เยอะ ทุกอย่างเหมือนประดังเข้ามาในเวลาเดียวกันทำให้เราลืมทุกสิ่งทุกอย่างไป คิวบู๊กลายเป็นว่า ตึ้ง มืดแปดด้าน เราก็แบบยกการ์ดขึ้นมากางแล้วแบบพี่เขาก็แบบทำไมไม่เข้ามาวะ ทำไมไม่เข้าไป พี่ก็จะเข้ามาแหย่ๆ และก็ส่งซิกว่าต่อยๆ เราก็จะแบบหืมอะไรๆ เราก็แบบอะไรวะ งง สุดท้ายก็คัท โอ๊ยขอโทษครับๆ บอกไปว่าผมเป็นอะไรก็ไม่รู้ครับลืมบทหมดเลย ถ่ายมาตั้งหลายวันแต่ตายคิวที่เราชอบด้วย เรื่องคิวบู๊เวลาที่เราไปเรียนว่าเราชอบมาก ทีมพี่พันนาคิดท่าออกมาให้เราสวยมาก เราก็ทำได้ แต่พอเวลาถ่ายทำไมเราลืมทำไมเราทำไม่ได้ เราก็แบบเอาไงดีวะ ไม่ได้ๆ มันต้องได้ดิ เราก็ขอเวลาพักทำสมาธิก่อนคนเดียว และเราคิดแบบตอนที่ถ่ายฉากอื่นๆ ที่หม่อมให้เราคิดว่าเราเป็นเคน กระทิงทองอยู่แล้ว บทเราก็ซ้อมมาแล้วก่อนถ่ายทำตั้งห้าหกเดือนมันอยู่ในสมองเราแล้ว ลืมทุกอย่างให้หมดเลย อยู่กับปัจจุบัน เริ่มถ่าย ห้า สี่ สาม สองปุ๊บเริ่มเป็นเคน ลืมทุกอย่าง คิวบู๊เราซ้อมมานานแล้ว บททุกอย่างเราก็ผ่านมาแล้ว ลืมให้หมด ลืมคิวบู๊เลย เอาเว้ย คิวบู๊ลืมไป ต่อยอะไรไม่สนล่ะ ลืมให้หมด ห้า สี่ สาม สองปุ๊บๆ ไปเองหมดเลย สุดท้ายออกมาได้ดีกว่าตอนที่เราไปกังวลเยอะมาก คือออกมาตามที่ซ้อมไว้เลย ตามที่วางไว้เลยคือทุกอย่างได้ตามที่หม่อมหวังไว้ ตามที่ส่งเราไปซ้อมและก็ตอนซ้อมก่อนหน้าถ่ายทำเนี่ยเราทำได้ พอมาถ่ายคิวเทคนี้เราก็ทำได้เหมือนที่เราซ้อม เพราะว่าเราสามารถใช้เทคนิคใช้การอยู่กับปัจจุบันที่หม่อมสอนมาเนี่ยมาอยู่กับฉากนี้ได้ นั่นคือปัญหาใหญ่ที่สุดแล้วในเรื่องนี้ที่ผมเคยเจอมาตั้งแต่ถ่ายทำครับผม
อีกปัญหาหนึ่งก็อาจจะเป็นปัญหาที่เล็กลงมากหน่อย ก็คือปัญหาตอนวัยชรา แต่ปัญหาเทคนิคอะไรอย่างนี้ก็จะเป็นแบบเดียวกันคือ เรากังวลกับตัวเองว่าเราต้องไปเล่นเป็นคนแก่อายุแปดสิบเก้าสิบเราจะทำได้เหรอ แต่พอได้ซ้อมก่อนถ่ายทำ ซ้อมเฉพาะคิวคนแก่โดยเฉพาะเลยว่าจะเป็นงี้ๆเพิ่มวิธีคิดเข้าไปอีก เพิ่มวิธีการแสดงออกมาเป็นการใส่วิธีคิดแบบคนแก่เข้าไป ก็ลองคิดดูและก็ลองแชร์ความคิดดูที่เราดูจากคุณปู่ของเราเนี่ย แชร์ลงไปในตัวละครตัวนี้ รวมถึงเราเอาจากคุณตามาด้วย เพราะคุณตาเราก็อายุประมาณแปดสิบแล้ว แต่คุณตาเรายังแข็งแรงอยู่ ยังขับรถสปอร์ตไปที่ต่างๆ อยู่เลย ท่านยังแข็งแรงอยู่ และก็เล่าให้หม่อมฟัง หม่อมก็บอกว่าเนี่ยแหละเคนเป็นแบบนี้แหละ ถึงแม้ว่าอายุจะแก่แล้ว แต่จิตใจยังเด็กอยู่ ยังแข็งแรงอยู่ สภาพจิตใจยังดีอยู่ครับ คือจะใช้เทคนิคจากคุณตาคุณปู่ผสมกัน เวลาถ่ายทำก็ใช้เทคนิคเดิมจากคิวบู๊กับทุกๆ ตอนคือลืมให้หมด ทุกอย่างอยู่ในหัวเราหมดแล้ว มันก็ผ่านไปได้ด้วยดีครับ
ฉากอีโรติกในเรื่องนี้
ฉากอีโรติกในเรื่องนี้ผมขอพูดในส่วนที่เป็นของผมเองนะครับ ในส่วนของนักแสดงคนอื่นผมไม่ได้เข้าไปดู ไม่เข้าไปยุ่ง คือไม่เข้าไปดูเลย ผมก็จะนอนเวลาเขาถ่ายกันผมไม่อยากดู ส่วนของผมแล้วเนี่ย ผมก็จะมีฉากอีโรติกของผมหลักๆ ก็จะมีกับผู้หญิงสามคนด้วยกันครับ ก็จะมีสายสร้อย สายสร้อยก็เหมือนคู่ขาเลยล่ะ เป็นคู่ขาเลยในเรื่องก็จะมีฉากกับสายสร้อยประมาณสองสามฉาก เหมือนเหตุการณ์มันดำเนินไป ก็คือฉากอีโรติกของหม่อมเนี่ยทุกเรื่องก็คือมันจะมีเหตุผลของมัน เราไม่ได้ต้องการที่จะมาขายอีโรติกซีนหรือว่าขายหนังที่เป็นแบบนี้ เป็นการสอนมากกว่า เพราะหม่อมบอกว่าการที่กิจกรรมเรื่องนี้มันเกิดขึ้นมาเพราะอะไร ทำไมมนุษย์ต้องทำแบบนี้ หม่อมสอนตลอดว่าเป็นกิจกรรม สิ่งที่มนุษย์ทำแล้วเกิดเราขึ้นมาไม่ใช่เหรอ มันไม่ใช่สิ่งที่ดีสิ่งที่แย่ แต่บางคนมองมันว่าแย่ ผมอยากให้ลองคิดตรงนี้ดูว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญเหมือนกันที่ทำให้เกิดมนุษย์ขึ้นมาอีกคนหนึ่ง ในเรื่องมีฉากนี้ขึ้นมาปุ๊บก็จะมีคุณแก้วมาเห็น ก็จะเกิดเหตุการณ์ต่อไปขึ้นมาว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณแก้วมาเห็นแบบนี้ปุ๊บ คุณแก้วซึ่งเป็นผู้หญิงที่บริสุทธิ์และก็ไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาเลย ยังเด็กอยู่และมาเห็นเรื่องแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับแก รวมถึงคุณจันก็เป็นผู้ชายบริสุทธิ์เหมือนกันมาเห็นเราสังวาสกับสายสร้อย จะเกิดอะไรขึ้นกับคุณจัน มันก็ทำให้ชีวิตของตัวละครอีกตัวที่เข้ามาเห็นมาพัวพันเข้ามาเกี่ยวข้องเนี่ยเปลี่ยนไป หรือว่ามีอะไรเข้ามาเพิ่มมากขึ้น มันเป็นสิ่งที่ตามเหตุการณ์ที่หม่อมเขียนขึ้นมาอีก
ถ้าถามว่าของผมเยอะไหม ก็ไม่เยอะเท่าไรนะ ถ้ามองไปตามเรื่องนะครับ ผมว่าลองดูก่อนเวลาที่คุณดูหนังจบทั้งเรื่องแล้วเนี่ย ฉากพวกเนี่ยมันแรงไปไหม มันเยอะไปไหมค่อยตัดสินหลังจากที่คุณดูหนังจบก่อน อย่าเพิ่งไปตีความหรือคาดหวังหรืออะไรก็แล้วแต่ ใจเย็นๆ และก็คอยไปชมในโรงภาพยนตร์ดีกว่า
การร่วมงานกับทีมนักแสดง
กับ ”มาริโอ้” เนี่ย ต้องบอกก่อนเลยผมกับมาริโอ้ค่อนข้างที่จะสนิทกันประมาณหนึ่ง เพราะเรารู้จักกันมาหลายปีมาก ตั้งแต่วัยรุ่นวัยทรงผมสกินเฮดเหมือนกัน ตอนนั้นเคยไว้ผมสกินเฮดเหมือนกัน และก็แคสโฆษณาก็เจอกันเป็นประจำอยู่แล้ว ก็จะเจอกันมาตั้งแต่ตอนนั้น ก็จะคุยกับโอ้มาตลอด เหมือนเวลาบางทีโอ้ก็มาคนเดียวเวลาไปแคส ผมก็ไปแคสคนเดียวเหมือนกัน เวลาเจอกันเราก็นั่งแบบนั่งรอคิวนั่งรอเรียกเบอร์เข้าไปแคส ก็นั่งรอ โอ้ก็นั่งรอเหมือนกัน เราก็พอเจอหน้าไอ้นี้กันบ่อยๆ มันมาคนเดียวตลอด ก็เริ่มแบบคุยกันเริ่มรู้จักกันจากตรงนั้น ก็เริ่มจากตรงนั้นก็ทำให้พูดคุยกันมาพอสมควร เริ่มมาสนิทกันจริงก็คือตอนเล่น “อุโมงค์ผาเมือง” ก็เจอกันที่บ้านหม่อม เราก็ย้อนพูดคุยกันถึงตอนที่แคสโฆษณาด้วยกัน ทำให้นึกย้อนกลับไปเห็นว่าทำให้มีเรื่องพูดคุยกันมากขึ้น มันก็ทำให้สนิทกันมากขึ้น และยิ่งตอนไปถ่ายอุโมงค์ฯ และเรามีโอกาสซ้อมกับมาริโอ้ด้วย เราเล่นเป็นพี่ชายมาริโอ้ ก็จะมีการซ้อมกันตลอดเวลาและก็ทำให้เราสนิทกันมากขึ้นอย่างนี้ ทำให้การถ่ายทำในเรื่องนี้ที่เราเข้าฉากกับมาริโอ้ส่วนใหญ่นั้น เก้าสิบเปอร์เซนต์ของผมเนี่ยคือเข้ากับมาริโอ้เลย ตั้งแต่ถ่ายทำมาทุกคิวเนี่ยถ้าจำไม่ผิดนะครับคิวสองคิวที่ผมไม่เจอหน้าโอ้ นอกนั้นคือเจอกันทุกวันเจอกันตลอดเวลาเลย ก็จะถ่ายด้วยกันตลอด ความสนิทกันก่อนหน้าที่จะถ่ายทำเนี่ย มันช่วยให้ในหนังดูกลมกลืนและก็สนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น เพราะว่าในเรื่องเราก็เป็นเพื่อนที่สนิทกันครับ ตรงนั้นก็คือเป็นสิ่งที่โชคดี
กับพี่ชุ (ชุดาภา จันทเขตต์) เนี่ย เราก็ค่อนข้างที่จะสนิทกับพี่ชุในระดับหนึ่งเหมือนกัน เพราะว่าเรื่องที่แล้วเราก็เล่นเป็นลูกพี่ชุเหมือนกันใน “อุโมงค์ผาเมือง” ก็จะมีการพูดคุยกันตลอด รวมถึงที่บ้านหม่อมเราก็จะเจอกับพี่ชุค่อนข้างบ่อย พี่ชุก็จะเข้ามาหาหม่อมค่อนข้างบ่อยก็จะมีการพูดคุยกัน พี่ชุก็จะมีการสอนอะไรเราตลอดเวลา เพราะพี่ชุก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงที่มีคุณภาพของเมืองไทยคนหนึ่งเลยในระดับต้นๆ แกก็จะสอนผมตลอดเวลาว่า การที่เราเป็นนักแสดงทั้งการวางตัว การใช้ชีวิต แกก็จะสอนผมตลอดเวลาเลย พอเรามาเล่นเป็นแม่ลูกกันเนี่ย อย่างที่บอกคือพี่ชุสอนผมในหลายๆ เรื่อง มันก็เหมือนแม่สอนลูก เราก็จะใช้ตรงนั้นเป็นเทคนิคเวลาเล่นก็นึกถึงคำสอนของพี่ชุ ก็คือจะสนิทกันในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
กับคนอื่นไม่ว่าจะเป็นพี่เจี๊ยบ, พี่ตั๊ก, พี่หญิง เราก็จะเจอกันที่บ้านหม่อม ในสามคนนี้เราจะสนิทกับพี่เจี๊ยบที่สุดเพราะว่าหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าผู้ชายเหมือนกัน ชอบเล่นกีฬาเหมือนกัน คือจะคุยกันเรื่องกีฬาเรื่องเล่นบาส เพราะว่าพี่เจี๊ยบจะเป็นคนที่เล่นกีฬาเหมือนกัน มีเทคนิคหรือจะสอนอะไร พี่เจี๊ยบก็จะสอนอยู่ตลอดเวลา รวมถึงการใช้ชีวิตก็คือ พี่เจี๊ยบก็มีประสบการณ์ด้านบันเทิงค่อนข้างสูง แกก็จะสอนผมอยู่ตลอดเวลา
พอมาเจอพี่ตั๊ก กับพี่หญิงก็คือสองคนนี้คือจะรู้จักพร้อมๆ ไล่เลี่ยกัน พี่ตั๊กอาจจะก่อนนิดหน่อย แต่ก็จะสนิทสนมในระดับประมาณใกล้ๆ เคียงกัน จะเจอกันที่บ้านหม่อม มีการซ้อมการพูดคุยกัน และก็เหมือนเราใช้เทคนิคนี้ได้ ก็คือเราจะเป็นคนที่ค่อนข้างโดยส่วนตัวจะเป็นคนที่ค่อนข้างกลัวที่จะเข้าไปคุยกับผู้หญิงจะค่อนข้างมีระยะห่าง แต่พอคุยกันไปเรื่อยๆ เนี่ยมันจะเริ่มสนิทสนมกันขึ้นเองตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่ว่าเวลาที่ถ่ายทำ “จันดารา” เนี่ย ผมกลับใช้เทคนิคตรงที่ยังไม่ค่อยสนิทกัน ยังเป็นเพิ่งเริ่มรู้จักกัน ผมจะเอาเทคนิคตรงนี้มาใช้ที่ไม่ค่อยจะกล้าที่จะเข้าไป ค่อนข้างที่จะมีระยะห่างตรงนั้น เพราะว่าในเรื่องเนี่ยผมเป็นคนรับใช้ พี่ตั๊กก็เหมือนเป็นหนึ่งในหัวหน้าในบ้าน พี่หญิงก็เป็นหนึ่งในหัวหน้าในบ้าน จะใช้เป็นเทคนิคตรงนั้นมาช่วย เราใช้ความเกรงใจ ใช้ระยะห่างตรงนั้นมาเป็นเทคนิคที่เล่นในบ้านครับ
อีกคนหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ โชจังที่เป็นนักแสดงจากญี่ปุ่นครับ ก็ตอนแรกก็คิดว่าเราจะไปคุยกับเขารู้เรื่องเหรอ หรือว่าเขาจะมาคุยกับเราหรอ เขาเหมือนคุยกันคนละภาษา และเขาก็พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่โชเป็นคนที่เฟรนด์ลี่มากจริงๆ และก็จะจะชวนคุยอยู่ตลอดเวลา แม้จะผ่านล่ามก็แล้วแต่ เขาจะคอยคุยคอยเล่นอะไรกับผมตลอดเวลา จะมีอะไรมาแกล้ง แกจะชอบพูดบอกว่าผมหน้าตาเหมือนนักร้องที่ญี่ปุ่น แกก็จะชอบเอารูปมาให้ดูว่าเหมือนไหมๆ เหมือนใช่ไหมๆ ก็จะหาอะไรแบบนี้มาเล่นมาพูดคุยด้วยตลอดเวลา ทำให้เราสนิทกันค่อนข้างมาก โดยที่ภาษาหรือว่าอะไรเนี่ยไม่เป็นอุปสรรคเลย อย่างที่บอกว่าแกเป็นคนที่เฟรนด์ลี่และนิสัยดีมาก อยู่ด้วยแล้วแบบยิ้มตลอดเวลา เพราะแกจะชวนคุยเรื่องตลก ชวนคุยเรื่องนู่นเรื่องนี้ เรื่องว่าเคยไปญี่ปุ่นไหม เคยอะไรไหมตลอดเวลา อยากให้ไปอะไรอย่างนี้ครับ พอได้ทำงานร่วมด้วยแล้วรู้สึกดีมากและก็เป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงญี่ปุ่นนักแสดงต่างประเทศอะไรอย่างนี้ มาพูดคุยกับเรามาสนิทสนมกับเราด้วยก็ยิ่งเป็นเกียรติกับผมมากยิ่งขึ้น
กรทำงานร่วมกับหม่อมน้อยเป็นอย่างไรบ้าง
การร่วมงานกับหม่อมก็ดีครับคือ หม่อมเวลาที่ทำงานร่วมงานด้วยกับสอนจะแตกต่างกันพอสมควรครับ แต่เราก็จะมีประสบการณ์มาแล้วแหละจากเรื่องอุโมงค์ผาเมือง ที่เคยร่วมงานกับหม่อมมา ถึงแม้ว่าจะประมาณสี่ห้าฉากแต่ว่าทั้งเรื่องผมก็จะไปอยู่ด้วยกับกองทั้งเรื่องเลย คือเราจะเห็นอยู่แล้วล่ะว่าการทำงานของหม่อม และก็ช่วงเวลาที่หม่อมทำงานเนี่ยจะเป็นยังไง จะดูตรงนั้นแล้วเราไม่ไปกวน เหมือนมีระยะห่างอีกแบบหนึ่งตอนที่เรียนแอ็คติ้ง จากตอนที่เรียนแอ็คติ้งจากบ้านหม่อมก็จะเรามีอะไรเราก็สามารถพูดคุยได้ตลอดเวลา แต่พอเวลาทำงานจริงเนี่ย เราต้องดูช่วงเวลาด้วยว่าเวลาไหนเหมาะ เวลาไหนไม่เหมาะ เพราะว่าบางทีหม่อมอาจจะบรีฟทีมงานอยู่ อาจจะบรีฟนักแสดงคนอื่นอยู่ เราก็ต้องรอคิวรอคอยจังหวะครับ ส่วนตัวผมแล้วอย่างที่บอกคือเราได้เรียนแอ๊คติ้งจากหม่อมมาเป็นปีที่สี่แล้ว เราก็รู้นิสัยแกค่อนข้างมาก และก็ก่อนหน้าที่จะถ่ายทำก็มีการซ้อมค่อนข้างเยอะ ทำให้ปัญหาของการถ่ายทำเนี่ยน้อย เวลาหม่อมถ่ายทำก็จะบรีฟค่อนข้างน้อย เพราะว่าเรารู้กันอยู่แล้วว่าในฉากนี้ความต้องการของเคนเป็นอะไร ต้องการอะไร ฉากนี้จะสื่อออกมายังไงเรารู้อยู่แล้ว บางทีถ้าเกิดเราเล่นออกมาแล้วมันไม่เหมาะสม มันน้อยเกินไป มันมากเกินไป หม่อมก็จะเข้ามาบรีฟว่า เพิ่มความต้องการอันนี้อีกหน่อยนะหรือว่ามันมากเกินไปลดลงหน่อย คือเราจะใช้เทคนิคแค่นี้พูดคุยกับหม่อมในเวลาถ่ายทำ และก็เวลาถ่ายทำเสร็จก็จะมานั่งพูดคุยกันถึงสิ่งที่ถ่ายซีนวันนั้นว่าเป็นยังไง พอใจระดับไหน ควรจะแก้ตรงไหนบ้าง เราก็จะมาพูดคุยหลังจากเลิกกองวันนั้นมากกว่า
ฉากประทับใจ
ฉากที่ผมชอบที่สุดและก็อินมากที่สุดก็คือเป็นฉากเดียวกันเลย คือเป็นฉากที่ผมคุยเรื่องผู้ชายกับคุณจัน คือเคนจะคุยเรื่องเหมือนเป็นเรื่องการเปิดซิง การมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงกับคุณจัน และคุณจันจะไม่เคย เราก็จะพูด ยุ แหย่ แกล้งให้เขาอยากลอง ให้เขาไปลองดู คือเป็นซีนนั้นที่ค่อนข้างยาวด้วย ฉากนั้นบทประมาณห้าหน้าที่ผมต้องพูดคนเดียว แต่ว่าโชคดีคือการซ้อมฉากนี้พูดได้เลยว่าเป็นฉากที่ผมซ้อมมากที่สุด และก็ตั้งใจมากที่สุดเลยก็ว่าได้ เวลาว่างวันไหนเนี่ยเราจะเข้าไปซ้อม หม่อมก็จะเน้นฉากนี้เป็นพิเศษ เพราะว่าหนึ่งเลยคือบทยาวมากห้าหน้า ตอนแรกกลัวมาก คนบ้าอะไรจำบทห้าหน้าได้วะ พูดคนเดียวด้วย บางทีมาริโอ้ก็ตอบนะครับว่า “เหรอ”, “จะเป็นอย่างนั้นจริงหรอ”, “และใครมันจะยอมล่ะ” คือเป็นประโยคนิดๆ แต่เราเนี่ยสี่ห้าประโยค โอ้ ตายๆ ขอบทกลับไปท่องได้ไหมครับหม่อม ผมจะไปท่องจะพยายามท่องเลย หม่อมบอกว่าไม่ต้อง ไม่ต้องกลับไปท่อง เชื่อหม่อม ซ้อมบ่อยๆ เดี๋ยวมันเข้าหัวเองและก็จะเป็นธรรมชาติมากกว่า เราก็เชื่อหม่อม เวลาถึงบ้านหม่อมซ้อม เดินเอามือปิดประตูออกจากหม่อม ปิดประตูรถ ลืมไปเลยว่าเราซ้อมอะไรมา ลืมบทนั้นไปเลย ไอ้ห้าหน้านั้นลืมไปให้หมด กลับเข้าบ้านหม่อมซ้อมใหม่ ออกจากบ้านลืม ทำอย่างนี้เป็นเวลาตั้งแต่ซ้อมตอนแรกยันก่อนเปิดกล้อง ซ้อมบทนี้เรียกได้ว่าบ่อยมาก ตั้งใจมากและก็กดดันมาก และก็เรียกได้ว่าทุกอย่างเนี่ยทุ่มกับฉากนี้สุดๆ เลย อยากให้มันออกมาดีที่สุดครับ และเวลาพอถ่ายทำจริงๆ เนี่ยใช้เวลาถ่ายทำแป๊ปเดียว ตอนแรกคิดจะนาน แต่ห้าหน้าแป๊บเดียวเสร็จคืนนั้น แบบสี่ห้าทุ่มเลิกละ เพราะว่าถ่ายเร็วมาก ด้วยความที่เราซ้อมมาก่อนค่อนข้างเยอะ และก็ตั้งใจมาก แต่ว่าพอเวลาถ่ายทำจริงเนี่ย เราก็ใช้เทคนิคเดิมที่หม่อมสอนให้ลืมให้หมด ลืมบทไปเลย ห้าหน้าก็ลืมมันให้หมด ห้า สี่ สาม สอง แอ็คชั่น เราก็พลิ้วตามของเราไปเลย ตอนซ้อมในห้องคือเราปรับมาแล้วค่อนข้างเยอะ การบล็อคกิ้งต่างๆ ความคิดของเราที่จะพูดถึงคำๆ นี้ พูดถึงฉากๆ นี้ พูดถึงประโยคนี้ เราได้ไตร่ตรองและคิดมาแล้ว พอถ่ายทำจริงมันก็ราบรื่นแป๊บเดียวเสร็จ เป็นฉากที่ประทับใจมากและตั้งใจมากอยากให้ลองชมฉากนี้มากๆ เลยครับ
ความน่าสนใจและความโดดเด่นของหนังเรื่องนี้
ความน่าสนใจและโดดเด่นผมว่าหลายจุดมากนะครับ อย่างแรกเลยคือตัวละครที่ผม และมาริโอ้เล่นตั้งแต่เด็กยันแก่ นั่นก็เป็นจุดน่าสนใจว่านักแสดงอย่างเราจะทำได้ไหมเป็นการท้าทายที่สูงมาก สูงสุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ บทนี้เป็นบทที่ยากที่สุดเท่าที่เคยรับมาเลยก็ว่าได้ มันท้าทายมากและก็น่าสนใจมาก รวมถึงนักแสดงคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีช่วงระหว่างระอายุมากนักเท่าผม สิบเจ็ดยันเก้าสิบหรือว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าเมื่อดำเนินเรื่องผ่านไปแล้วเนี่ย อย่างพี่ตั๊ก พี่หญิง พี่เจี๊ยบ และคนอื่นๆ ช่วงเวลามันก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน อาจจะไม่ได้เปลี่ยนเป็นหกสิบปีเหมือนผม แต่ว่าสิบปีเนี่ยคนเรามันก็มีการเปลี่ยนเหมือนกัน ทำให้คาแร็คเตอร์ของตัวละครแต่ตัวละตัวมันค่อนข้างที่จะแตกต่างกันมาก และก็แต่ละช่วงเวลามันก็แตกต่างกันไปอีก ทำให้คาราคเตอร์ของตัวละครนี้มันมีการเปลี่ยนแปลงเยอะมากตลอดเวลา อยากให้ลองชมตรงนี้ว่ามันแตกต่างกันยังไง มันพลิกกันยังไง อยากให้ติดตามจุดที่น่าสนใจจุดนี้
อีกจุดหนึ่งก็คือไม่พูดก็ไม่ได้คุณโชที่เป็นนักแสดงญี่ปุ่นที่มาเล่นด้วยครับ ก็คือการที่เราจะสื่อสารมันค่อนข้างยากอยู่แล้ว ตอนแรกหม่อมบอกว่าให้พูดภาษาญี่ปุ่นก็ได้เดี๋ยวไปพากย์ทับเอา แต่เขาบอกว่าไม่เป็นไร เขาจะท่องภาษาไทยมา พูดเป็นคำภาษาไทยแต่ว่าอาจจะไม่ชัด แต่พอเวลาพากย์แล้วเนี่ยปากมันตรงเขาบอกว่าจะเนียนกว่า มันจะสวยกว่า งานมันจะออกมาดีกว่า ซึ่งเขาทุ่มเทกับเรื่องนี้ค่อนข้างมาก มันเป็นจุดที่ผมว่าเป็นตัวอย่างนักแสดงเลยก็ว่าได้ที่มีความตั้งใจที่จะเล่นหนังหรือว่าอาจจะไม่ใช่เป็นตัวอย่างของนักแสดงอย่างเดียว เป็นตัวอย่างของคนทำงาน เป็นบทเรียนของทุกๆ คนว่า อะไรที่เรามีความตั้งใจหรืออยากจะทำมันแล้วเนี่ยไม่ว่าอะไรเราก็ทำได้ ไม่มีอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราตั้งใจและก็ใส่ใจกับมันจริงๆ นั้นก็เป็นจุดที่น่าสนใจที่สอนเราอยู่ตลอดเวลาที่ทำหนังเรื่องนี้ครับ
และอีกอันก็คือเรื่องฉาก ผมบอกได้เลยว่าตอนแรกเลยเนี่ย ที่ผมไปถ่ายทำที่บ้านไก่คู่ ที่ราชบุรีเนี่ย ก็บ้านสมัยก่อนปกติ หลังใหญ่ๆ มีเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ มีมุมห้องเป็นแบบสมัยก่อนมีห้องหลายๆ ห้อง ห้องน้ำก็สมัยก่อน ตามความคิดผมว่าก็ไม่ได้โดดเด่นไปกว่าบ้านอื่น แต่พอเวลาผ่านกล้องแล้วเนี่ย เฮ้ย...ทำไมมันสวยจัง ทำไมมันสวยขึ้น มันเป็นบ้านสมัยก่อนแต่มันมีความทันสมัย ผมอยากให้ไปดูว่ามันเป็นบ้านหลังนี้มันถ่ายละครก็หลายเรื่อง ถ่ายหนังก็หลายเรื่องแล้วเนี่ย แต่เวลาผมดูผ่านกล้องแล้วเนี่ย ผมลืมเรื่องอื่นไปเลย ผมว่ามุมที่หม่อมเลือกมันค่อนข้างจะแหวกแนวแตกต่างจากละครและก็หนังเรื่องอื่นๆ ที่เคยมาถ่ายทำ มันทำให้บ้านหลังนี้เป็นเหมือนบ้านของคุณหลวงวิสนันท์จริงๆ ในเรื่องเลย เพราะว่าไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนและก็สวยงามมาก รวมถึงพร็อพต่างๆ ที่เข้ามาแต่งเติมเสริมแต่งในเรื่องนี้สร้างขึ้นมาใหม่ การทาสีบ้านใหม่หรือว่าพร็อพเล็กๆ น้อยๆ ในสมัยก่อนที่เป็นของกระจุกกระจิกมาใส่ล้วนแต่งเติมให้ฉากนั้นดูอลังการมากยิ่งขึ้น ก็เป็นจุดที่น่าสนใจมากอีกจุดหนึ่ง
ความน่าสนใจของเนื้อเรื่องเลยเนี่ย มีคนมาถามผมว่าหนังเรื่องนี้ประเภทไหน จะว่าเป็นอีโรติก มั้ยมันก็เป็น เป็นดราม่ามั้ยมันก็เป็น มีแอ็คชั่นก็มี คอเมดี้ก็มี มันพูดไม่ถูกเลยว่าเป็นหนังประเภทไหนกันแน่ ผมว่ามันมีอะไรหลายๆ เข้ามาผสมกันในเรื่องเดียวกัน และเป็นการผสมผสานที่ลงตัวมาก และก็ในบทที่หม่อมเขียน เป็นการตีความของหม่อม ความน่าสนใจของมันอีกอันหนึ่งก็คือ เรื่องมันดำเนินไปเรื่อยๆ ในส่วนของการแก้แค้น คุณหลวงต้องการจะแก้แค้นครอบครัวนี้ก็เลยทำแบบนี้ พอเกิดปัญหากับคุณหลวงก็โดนแก้แค้นคืน เป็นการเอาคืนกันแบบเขาเรียกว่าเป็นการรับกรรมก็ได้แบบทันใจ แบบยังไม่ทันตายเลยชาตินี้เราต้องรับกรรมที่เราทำมาแล้ว เป็นหนังที่สะท้อนชีวิตของมนุษย์มากที่ทำให้เราเข้าไปส่องกระจกก่อนดูว่าเราเป็นแบบนี้หรือเปล่า เรามีจิตไม่ดีคิดแบบนี้หรือเปล่า ส่วนใหญ่ในเรื่องจะเป็นการสอนที่ตัวอย่างของในความไม่ดีออกมาให้คนเห็น ซึ่งตรงเนี่ยเป็นสิ่งที่เอากลับไปคิด เอากลับไปพิจารณาดูแล้วไม่ทำมัน ไม่ใช่ออกมาในหนังแล้วอยากให้ทำ แต่เป็นสิ่งที่ออกมาในหนังแล้วอยากให้กลับไปคิดและไม่ทำว่าอันนี้คือตัวอย่างที่ไม่ดีนะ คุณอย่าแก้แค้น การจองเวร การจองล้างจองผลาญกันระหว่างมนุษย์ด้วยกันเนี่ย มันทำให้คนที่ถูกจองเวรจองกรรมต่อกันเนี่ย เขาก็ไม่มีความสุขหรอก เราที่ไปจองเวรจองกรรมเขา เราเองก็ไม่มีความสุขเหมือนกัน และทำไปเพื่ออะไร สุดท้ายแล้วเนี่ยพอดูหนังจบแล้วเราจะเห็นว่า สุดท้ายแล้วคนที่เป็นแบบนั้นเนี่ยก็ไม่เหลืออะไร ก็เหลือแต่ตัวคนเดียวที่โดดเดี่ยวและก็รอความตายไปวันๆ แตกต่างจากอีกคนหนึ่งที่มองโลกในแง่ดี มีลูก มีหลาน มีคนรัก ทำงานสุขภาพแข็งแรง สภาพจิตใจดี พอแก่ตัวไปก็มีครอบครัวที่อบอุ่น มีคนที่รักคอยดูแล มีความสุข จนวันสุดท้ายของชีวิตก็ยังมีความสุขอยู่ต่างจากอีกคนโดยสิ้นเชิง
ความคาดหวังในหนังเรื่องนี้
คาดหวังอะไรมั้ยมันก็ต้องมีบ้างนะครับเรื่องนี้ แต่ว่าหม่อมก็บอกเหมือนกันว่าอย่าพยายามคาดหวังอะไรมาก เพราะว่าถ้าเราคาดหวังมากมันก็จะเสียใจมาก แต่ว่าถามแล้วว่าปกติมนุษย์เนี่ยมันก็ต้องคาดหวังอยู่แล้วล่ะ เพราะว่ามันเป็นหนังเรื่องแรกเต็มๆ ตัวของเราด้วย และก็เราค่อนข้างตั้งใจ และก็ซ้อมกับมันมากเป็นพิเศษ และก็อย่างที่บอกว่าการเตรียมตัวเราเตรียมตัวเยอะมากก่อนหน้าห้าเดือนที่จะเปิดกล้องทั้งซ้อมบท ทั้งคิวบู๊ ฟิตเนส ทั้งคุมอาหารทุกอย่าง คือเราลงกับมันเกินร้อยมากๆ ก็อยากให้มันออกมาดีที่สุดและพอถ่ายออกมาแล้วเนี่ยได้ตามที่เราและหม่อมคิดไว้พอสมควร หลังจากนั้นเราได้มาคุยกับหม่อมครับ หม่อมก็พอใจในระดับหนึ่ง ผมว่าความคาดหวังของผมมันก็ถือว่าผ่านไปในระดับหนึ่งแล้ว เพราะว่าถ้าหม่อมบอกว่าผมสามารถเป็นเคน กระทิงทองได้แล้วเนี่ย ผมสามารถเข้าไปเป็นตัวละครคาแร็คเตอร์ตัวนี้ได้ ก็ถือว่าผมประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ไปก้าวหนึ่งแล้วแค่นี้ผมก็ภูมิใจมากแล้วที่ได้เล่นเรื่องนี้และก็ทำออกมาเป็นที่น่าพอใจ เป็นเคน กระทิงทองที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง แค่นี้ผมก็ดีใจแล้วครับ