กรุงเทพฯ--5 ก.ย.--ธนาคารกสิกรไทย
กสิกรไทย แนะผู้ประกอบการเตรียมรับมือความผันผวนเศรษฐกิจโลก การค้าประชาคมอาเซียน ชี้ธุรกิจไทยขนเงินลงทุนต่างประเทศ 400 โครงการมูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านบาท เน้นกลุ่ม CLMV และอินโดนีเซีย ย้ำแบงก์พร้อมหนุนผู้ประกอบการบุกตลาดโลก มั่นใจสินเชื่อปีนี้โต 7-8% ค่าธรรมเนียมโต 10-12%
นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2555 ซึ่งเป็นโค้งสุดท้ายของปีนี้ ทางธนาคารมองว่ายังคงมีปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ต้องคอยจับตามองอย่างใกล้ชิด อาทิ เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มผันผวนต่อเนื่อง และอาจมีการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการสนับสนุนประเทศในโซนยุโรป ซึ่งทำให้ยูโรโซนอาจสั่นคลอนได้อีกครั้ง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเป็นไปอย่างเชื่องช้าและมีแนวโน้มเปราะบางมากขึ้น ทำให้ค่าเงินดอลล่าห์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนตัวลงในช่วงปลายปีนี้ไปจนถึงปีหน้า ดังนั้นผู้ประกอบการธุรกิจนำเข้าส่งออกควรปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อหลีกเลี่ยงส่วนต่างของกำไรที่อาจจะลดลง อีกทั้งการรวมตัวของประชาคมอาเซียนที่จะมีการปรับลดอัตราภาษีในปีหน้า ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวรับมือการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นอีกขั้นหนึ่งโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเกษตร และสิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายของภาครัฐและเอกชนภายในประเทศจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยที่ช่วยลดผลกระทบในเชิงลบจากปัจจัยภายนอกได้
ในส่วนของการลงทุนในต่างประเทศของผู้ประกอบการรายใหญ่ มีโครงการที่ต้องการไปลงทุนและไปลงทุนแล้วรวมกว่า 400 โครงการ ประเมินเป็นมูลค่ารวมได้กว่า 1.5 ล้านล้านบาท โดยส่วนใหญ่ไปลงทุนในประเทศกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม) และอินโดนีเซีย อุตสาหกรรมหลักที่ไปลงทุน ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าเกษตร อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป วัสดุก่อสร้าง ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี โดยจากการศึกษาของทางธนาคารพบว่าประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตด้วยปัจจัยแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกประเทศ ได้แก่ ประเทศพม่า เวียดนาม และอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม การลงทุนในต่างประเทศยังมีความเสี่ยงจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกจึงแนะนำให้ผู้ประกอบการทำการค้ากับประเทศดังกล่าวระยะหนึ่งก่อนเพื่อทำความเข้าใจตลาด ก่อนที่จะลงทุนกับประเทศนั้น ๆ ทั้งนี้ จากการทำความเข้าใจธุรกิจและความต้องการของลูกค้าในเชิงลึก ธนาคารกสิกรไทยมีความพร้อมในการให้บริการและสนับสนุนการค้าการลงทุนและการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) แก่ผู้ประกอบการไทยเพื่อให้เติบโตในเวทีโลกอย่างยั่งยืน
นายวศิน กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจดังกล่าว ทางสายงานธุรกิจลูกค้าบรรษัท ธนาคารกสิกรไทยได้มีแผนรองรับและเตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์อยู่แล้ว จึงมั่นใจว่าจะสามารถทำยอดสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยได้ตั้งเป้าสินเชื่อคงค้างสิ้นปีเติบโตที่ประมาณ 8% หรือใกล้คียงกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ และตั้งเป้าเติบโตค่าธรรมเนียมประมาณ 10-12% โดยธนาคารจะมุ่งเน้นกลยุทธ์การบุกตลาดต่างจังหวัด (Urbanization) ที่เป็นหัวเมืองหลัก เช่น นครราชสีมา อุดรธานี ขอนแก่น ซึ่งเป็นจังหวัดสำคัญในการเชื่อมต่อการค้าการลงทุนของการค้าชายแดนและประชาคมอาเซียน
สำหรับผลประกอบการของสายงานธุรกิจลูกค้าบรรษัทในครึ่งปีแรก มียอดสินเชื่อคงค้างที่ 368,000 ล้านบาท โดยสามารถสร้างการเติบโตที่รายได้จากค่าธรรมเนียมและรายได้ดอกเบี้ยที่ไม่ได้มาจากสินเชื่อประมาณ 18% ทำให้รายได้โดยรวมเติบโตจากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน 13% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าธนาคารสามารถบรรลุเป้าหมายการเพิ่มยอดรายได้ค่าธรรมเนียมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในครึ่งปีแรกมีโครงการสำคัญคือ การให้สินเชื่อโครงการในอุตสาหกรรมพลังงานที่มีมูลค่าโครงการรวมประมาณ 84,000 ล้านบาท และการให้สินเชื่อแก่โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ต่างจังหวัด รวมถึงการให้บริการแก่ธุรกิจค้าปลีกในด้านการบริหารเงินสดที่สะท้อนการมุ่งส่งเสริมเศรษฐกิจที่เติบโตในตลาดต่างจังหวัด หรือ urbanization อย่างเป็นรูปธรรมของธนาคาร