ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิต “รอยัลการ์เด้น รีซอร์ท” ที่ “A-” และแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable”

ข่าวทั่วไป Thursday August 19, 2004 08:57 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--19 ส.ค.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกัน (RGR078A และ RGR10DA) ของ บริษัท รอยัลการ์เด้น รีซอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ RGR ในระดับเดิมที่ “A-” อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความแข็งแกร่งและการมีประสบการณ์ของคณะผู้บริหารในธุรกิจโรงแรมและอาหารบริการด่วน (Fast Food) รวมทั้งการมีโรงแรมของบริษัทรอยัลการ์เด้น รีซอร์ท ที่กระจายตัวอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ และการเป็นผู้นำในตลาดอาหารบริการด่วนซึ่งกำลังขยายตัวของ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากธรรมชาติของธุรกิจโรงแรมที่เป็นวงจรและขึ้นกับฤดูกาลซึ่งถูกกระทบจากปัจจัยภายนอกได้ง่าย รวมทั้งจากการแข่งขันที่รุนแรงและอัตรากำไรที่ต่ำของธุรกิจอาหารบริการด่วน ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนการคาดการณ์ว่ากระแสเงินสดของบริษัทจะยังคงสูง แต่อัตราส่วนหนี้สินต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทก็จะยังคงอยู่ในระดับสูงในระยะปานกลาง ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้ทั้งเงินกู้และการเพิ่มทุนในกรณีที่จะมีการขยายหรือซื้อกิจการที่ใช้เงินลงทุนสูง หากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และบริษัทสามารถปรับปรุงอัตราส่วนภาระหนี้ต่อโครงสร้างเงินทุนให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ก็อาจมีการพิจารณาเปลี่ยนแปลงแนวโน้มอันดับเครดิตหรือเปลี่ยนแปลงอันดับเครดิตในอนาคต
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทรอยัลการ์เด้น รีซอร์ท ได้ขยายกิจการอย่างมากในช่วงเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันถือได้ว่าบริษัทเป็นเจ้าของกิจการโรงแรมที่กระจายตัวมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ โดยทั้งหมดตั้งอยู่ในทำเลที่ดี รวมทั้งมีการบำรุงรักษาและตกแต่งตามมาตรฐานสากล หลังจากการซื้อหุ้นในบริษัทเดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ในเดือนกรกฎาคม 2546 โครงสร้างรายได้และความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทได้เปลี่ยนไป โดยในปี 2546 รายได้จากธุรกิจโรงแรมคิดเป็น 47% และรายได้จากธุรกิจอาหารเป็น 41% ในขณะที่ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2547 มีรายได้จากโรงแรมมีเพียง 35% และจากธุรกิจอาหารถึง 56% ความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจของบริษัทลดลงจากการขยายสู่ธุรกิจอาหารแทนที่จะเน้นเฉพาะธุรกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยวจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยลูกค้าเกือบทั้งหมดของธุรกิจอาหารเป็นคนไทยทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด นอกจากนี้ ผู้บริหารยังมีนโยบายจะขยายกิจการด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกิจการที่บริษัทยังถือหุ้นไม่ถึง 100% การพัฒนาโรงแรมใหม่ การซื้อกิจการโรงแรมระดับบนในประเทศ และอาจจะลงทุนในธุรกิจที่น่าสนใจในต่างประเทศด้วย คณะผู้บริหารของกลุ่ม ซึ่งรวมทั้งผู้บริหารระดับสูงที่เพิ่งร่วมงานกับบริษัทรอยัลการ์เด้น รีซอร์ท และบริษัทเดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป เมื่อปลาย 2546 และต้นปี 2547 ล้วนมีประสบการณ์ที่ยาวนานในธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารบริการด่วนกับเครือข่ายธุรกิจที่มีชื่อเสียงระดับโลกทั้งในตลาดในประเทศและต่างประเทศ ธุรกิจโรงแรมของกลุ่มได้รับการสนับสนุนในด้านการตลาดและการขายจากเครือ “Marriott” และ “Four Seasons” ซึ่งมีชื่อตราสัญลักษณ์เป็นที่รู้จักทั่วโลกเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
แม้ว่าจะเกิดการแพร่ระบาดของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือซาร์ส ในช่วงครึ่งแรกของปี 2546 แต่ธุรกิจโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องยังสามารถสร้างรายได้ทั้งปีให้แก่บริษัทรอยัลการ์เด้น รีซอร์ท ได้ถึง 2,846 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้รวมตัวเลขของบริษัทเดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป เข้าไว้ในงบการเงินรวมของกลุ่ม RGR แล้ว ปรากฏว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานตกลง ในขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้ว่ากระแสเงินสดรวมของบริษัทจะดีขึ้นเป็นอย่างมากและต่อเนื่อง แต่อัตราส่วนกระแสเงินสดต่อยอดหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเนื่องจากบริษัทขยายธุรกิจโดยใช้เงินทุนทั้งจากการออกหุ้นเพิ่มทุนและจากเงินกู้ อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทอยู่ในระดับ 19% ในปี 2545 และปี 2546 และอยู่ที่ 7.04% ในไตรมาสแรกของปี 2547
ในด้านธุรกิจโรงแรมนั้น ทริสเรทติ้งคาดว่าน่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะปานกลางถึงระยะยาวเนื่องจากประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจและมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวมากมาย อย่างไรก็ตาม การที่มีอุปทานในธุรกิจโรงแรมระดับบนมากเกินความต้องการและอัตราการเข้าพักที่ยังต่ำอยู่ ทำให้การแข่งขันในธุรกิจนี้ยังคงค่อนข้างรุนแรง ส่วนธุรกิจอาหารบริการด่วนนั้น บริษัทเดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป เป็นเจ้าของและผู้ประกอบการภายใต้ตราสินค้าหลายยี่ห้อ เช่น “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” “สเวนเซ่นส์” “ซิซซ์เล่อร์” “แดรี่ ควีน” และ “เบอร์เกอร์ คิง” นับตั้งแต่เปิดดำเนินการในปี 2523 บริษัทได้ทยอยเพิ่มตราสินค้าใหม่ให้มีมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่มีฐานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง ผลิตภัณท์ของบริษัทครอบคลุมอาหารหลายประเภทและหลายระดับราคาเพื่อกระจายฐานลูกค้า แม้ว่าตลาดของอาหารบริการด่วนจะมีอนาคตที่ดีในแง่ของอุปสงค์ แต่ในแง่ของการแข่งขันนั้นยังคงรุนแรงเนื่องจากผู้ประกอบการรายใหม่สามารถเข้าสู่ธุรกิจดังกล่าวได้ง่าย ทริสเรทติ้งกล่าว--จบ--
--อินโฟเควสท์ (นท)--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ