กรุงเทพฯ--11 ก.ย.--PRdd
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ รองประธานกรรมการ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมเคลื่อนไหวของราคาทองคำในช่วง 8 เดือนที่ผ่านว่า ราคาของทองคำตลาดโลกมีการปรับเพิ่มขึ้นสูงถึง 124.89 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณ 7.98% ขณะที่ราคาทองคำ 96.5% ในหน่วยของเงินบาทนั้นได้ปรับเพิ่มขึ้นเพียง 1,050 บาทต่อบาททองคำ หรือประมาณ 4.45% เท่านั้น เนื่องจากวิกฤตยูโรโซนได้ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ได้ปรับตัวแข็งค่าขึ้น (Dollar Index เพิ่มขึ้น 1.26%) ทำให้ค่าเงินบาทได้อ่อนลงเล็กน้อย และตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนราคาทองคำได้มีการปรับเพิ่มมากขึ้นประมาณ 3% จากเหตุผลสำคัญคือ เริ่มมีกระแสข่าวเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งจากยุโรปและสหรัฐฯ ที่มีความชัดเจนมากขึ้น
สำหรับแนวโน้มจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี วายแอลจี มองว่าราคาทองคำเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น โดยปัจจัยที่เป็นตัวชี้นำราคาที่สำคัญในขณะนี้คือการประชุมของคณะกรรมนโยบายการเงิน (FOMC) ของสหรัฐฯ ในวันที่ 13 กันยายนนี้ ซึ่งหากผลการประชุมมีมาตรการ QE3 ออกมา จะเป็นผลบวกต่อราคาทองคำอย่างมากโดยมีความเป็นไปได้ที่ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นไปถึง 1,850 - 1,920 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ 26,700-27,750 บาท/บาททองคำ ได้ภายในสิ้นปี ขณะเดียวกันหากไม่มี QE3 ราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นได้ที่บริเวณ1,730 - 1,850 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ 25,000 -26,700บาท/บาททองคำ จากการที่ปัจจัยอื่นๆเกื้อหนุนและเชิงเทคนิคที่ราคาทองคำในขณะนี้อยู่ในช่วงปรับฐานและพร้อมที่จะขึ้นในช่วงปลายปี
นางพวรรณ์ กล่าวว่า สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจของกลุ่มวายแอลจีในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจมาก โดยในส่วนธุรกิจทองคำแท่ง บริษัทฯยังสามารถรักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 ไว้ได้ โดยมีมูลค่าการซื้อขายประมาณ 530,000 ล้านบาท คิดเป็น 66.25% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งปีที่ประมาณ 800,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการมีฐานลูกค้าถึง 3,000 บัญชี รวมถึงการจัดกิจกรรมการตลาดที่เน้นให้ความรู้ด้านการลงทุนในทองคำต่อเนื่อง ประกอบกับการให้บริการซื้อขายทองคำแท่งพร้อมที่ปรึกษาการลงทุนอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้าอย่างเต็มรูปแบบ
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยถึงผลการดำเนินธุรกิจโกลด์ฟิวเจอร์สของบริษัทฯ ในช่วงเดือน 8 ที่ผ่านมาว่า ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง มีอัตราการเติบโตที่ก้าวกระโดดถึง 97.07 % โดยมีปริมาณการซื้อขายจำนวน 961,193 สัญญา เทียบกับสิ้นปี 2554 ที่มีอยู่จำนวน 487,741 สัญญา ขณะเดียวกันยังมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าภาพรวมของตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สถึง 38.17 % ส่งผลทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 7.52 % และยังเป็นบริษัทที่มียอดการเทรดโกลด์ฟิวเจอร์สสูงสุดขึ้นเป็นอันดับ 2 ของโบรกเกอร์ทองอีกด้วย
นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจ จากเดิมให้บริการซื้อขายเฉพาะอนุพันธ์ที่อ้างอิงกับทองคำและโลหะเงิน เป็นการให้บริการซื้อขาย SET 50 Index Futures และ Oil Futures ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2555 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้หลากหลายยิ่งขึ้น ตลอดจนเพิ่มโอกาสในการสร้างผลกำไรให้ลูกค้ามากขึ้น โดยในระยะแรกบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายเทรดภายในสิ้นปีนี้อยู่ที่ประมาณ 7,500 สัญญา
ด้านนายธีระพงค์ นววัฒนทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า วายแอลจีได้เปิดให้บริการด้านเทคโนโลยีใหม่ คือ Gold Trade Online สำหรับซื้อขายทองคำแท่ง 99.99% และ 96.5% แก่นักลงทุนช่องทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.ylgonline.com โดยเฟสแรกจะเปิดให้บริการระหว่างเวลา 9.30-23.00 น.เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำกำไรในราคาทองได้ทุกมุมโลก และพร้อมพัฒนาอย่างเต็มรูปแบบให้สามารถซื้อขายได้ 24 ชั่วโมงต่อไป นอกจากนี้ ยังมีแผนงานที่จะสร้างอาคารส่วนบริการลูกค้าใหม่บนบริเวณพื้นที่เดียวกับอาคารสำนักงานวายแอลจีภายในปีนี้ ซึ่งจะประกอบด้วยส่วนแสดงสินค้า ห้องเทรดราคาทอง ห้องสัมมนา เพื่อการบริการที่สะดวกและรองรับกับปริมาณลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น โดยใช้งบประมาณในการลงทุนทั้งสิ้น 200 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในกลางปี 2556