กรุงเทพฯ--25 ส.ค.--ซีบี ริชาร์ด เอลลิส
บริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรด้วยมาตรฐานในระดับสากล ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับตลาดคอนโดมิเนียมในปัจจุบันว่า แม้จะมีโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ผู้บริโภคยังคงเลือกซื้อคอนโดมิเนียมอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน การขายคอนโดมิเนียมได้ปรับตัวช้าลง เนื่องจากผู้ซื้อใช้เวลาพิจารณานานขึ้นในการเลือกซื้อคอนโดมิเนียม และมักจะสำรวจสินค้าที่มีอยู่ในตลาดโดยรอบและนำมาเปรียบเทียบกัน รวมทั้งผู้ที่ซื้อเพื่อเก็งกำไรก็เริ่มลดน้อยลง สำหรับปริมาณการเปิดโครงการใหม่ๆ จะเห็นได้ว่าลดจำนวนลงอย่างมาก โดยโครงการที่เกิดขึ้นใหม่ในขณะนี้มักตั้งอยู่บริเวณกรุงเทพมหานครรอบนอก อาทิเช่น ย่านพระราม 3 และรัชดาภิเษกตามเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดิน หลายโครงการได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับตลาดระดับกลาง
โครงการที่เปิดตัวในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เช่น โครงการแฮมป์ตัน บนถนนสุขุมวิท 55 ซอยทองหล่อ 10 และโครงการเดอะเลคส์ ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับโรงงานยาสูบ การก่อสร้างจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการบริหาร บริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด ได้ให้ความเห็นว่า "การที่อาคารเหล่านี้ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์จะช่วยให้เห็นถึงทิศทางของตลาดได้ชัดเจนมากขึ้น"
"เราจะเห็นได้ว่า ผู้ที่ซื้อเพื่อเข้าอยู่อาศัยจริงซื้อห้องชุดจำนวนเท่าใด นักลงทุนระยะยาวที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่าซื้อจำนวนเท่าใด และนักเก็งกำไรที่ซื้อห้องชุดเพื่อขายทำกำไรก่อนที่จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ซื้อจำนวนเท่าใด สำหรับโครงการแฮมป์ตันและโครงการเดอะเลคส์ บริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด เชื่อมั่นว่า เป็นโครงการที่มีคุณภาพ และเสร็จสมบูรณ์ก่อนที่การแข่งขันในตลาดคอนโดมิเนียมจะรุนแรง"
จากการสำรวจล่าสุดโดยฝ่ายวิจัยและพัฒนาของ บริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด พบว่า ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2547 ปริมาณคอนโดมิเนียมในย่านในกลางเมืองของกรุงเทพมหานครมีทั้งสิ้น 37,176 ยูนิต แบ่งเป็นคอนโดมิเนียมที่ผู้ซื้อมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน (Freehold) จำนวน 35,577 ยูนิต และคอนโดมิเนียมที่ผู้ซื้อถือกรรมสิทธิ์เช่า (Leasehold) จำนวน 1,599 ยูนิต สำหรับอัตราการเข้าพักอาศัยอยู่ที่ระดับ 83.7% ซึ่งลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากการที่ห้องพักอยู่ในระหว่างการตกแต่งเพื่อให้พร้อมสำหรับเข้าพักอาศัย ส่วนปริมาณห้องชุดที่การก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้มีจำนวน 1,165 ยูนิต
บริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด คาดการณ์ว่า จะมีคอนโดมิเนียมอีกจำนวน 3,144 ยูนิตที่การก่อสร้างจะแล้วเสร็จในช่วงครึ่งหลังของปี 2547 นี้ ปัจจุบัน มีโครงการคอนโดมิเนียมในย่านใจกลางกรุงเทพมหานครทั้งสิ้น 80 โครงการ คิดเป็น 11,686 ยูนิต ซึ่งมีทั้งที่อยู่ในระหว่างการดำเนินงานก่อสร้างและที่เปิดโครงการแต่ยังไม่เริ่มการก่อสร้าง
จากระยะเวลาการก่อสร้างที่ทางบริษัทผู้พัฒนาโครงการกำหนดไว้ แสดงให้เห็นว่า จะมีห้องชุดทั้งสิ้น 4,309 ยูนิตที่จะแล้วเสร็จภายในปี ส่วนในปี 2548 จะมีจำนวน 3,836 ยูนิต และในปี 2549 อีก 3,637 ยูนิต
ความต้องการที่มีอยู่ในตลาดขณะนี้ เกือบทั้งหมดเป็นความต้องการที่มาจากผู้ที่ซื้อเพื่อเข้าอยู่อาศัยเองและผู้ที่ซื้อเพื่อการลงทุนระยะยาว ผู้ที่ซื้อเพื่อเก็งกำไรโดยหวังว่าจะปล่อยขายห้องชุดได้ก่อนที่การก่อสร้างจะแล้วเสร็จได้เริ่มลดน้อยลงไปจากตลาด
นางสาวอลิวัสสายังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "นี่นับเป็นภาวะที่ดีของตลาด เพราะตลาดที่เกิดจากความต้องการที่แท้จริงเป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างมั่นคงจริงๆ"
"มีเพียงโครงการที่มีจุดขายน่าสนใจและตรงกับความต้องการอย่างแท้จริงเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ บริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด เชื่อว่า ตลาดที่มีความโดดเด่นในขณะนี้ ได้แก่ ตลาดระดับบน และตลาดระดับกลาง โครงการที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นตลาดระดับบน จะประสบความสำเร็จได้จำเป็นต้องพัฒนาให้ตรงกับความต้องการของผู้ซื้อในด้านทำเลที่ตั้ง การจัดวางผังห้อง วัสดุที่เลือกใช้สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ จำนวนที่จอดรถ และการบริหารจัดการอาคาร ในขณะที่ ตลาดระดับกลางเป็นตลาดที่ให้ความสำคัญเรื่องทำเลที่ตั้งและราคาเป็นหลัก หากโครงการที่จะเกิดขึ้นไม่ได้รับการพัฒนาให้ตรงกับความต้องการของตลาดระดับบนแต่กลับมีราคาสูงเกินกว่าราคาในตลาดระดับกลาง โครงการนั้นก็อาจจะประสบกับปัญหาได้"
นับตั้งแต่ต้นปี 2547 เป็นต้นมา ราคาค่าก่อสร้างได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างน้อยที่สุด 5% ซึ่งก็หมายถึงว่าโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะมีราคาขายที่สูงขึ้น หรือบริษัทผู้พัฒนาอาจจะต้องลดส่วนต่างผลกำไร (Margin) ให้แคบลง
ปัจจุบัน โครงการคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ในย่านลุมพินี สามารถปิดการขายได้มากกว่าระดับ 100,000 บาท ต่อตารางเมตรสำหรับห้องที่นำกลับมาขายใหม่อีกครั้ง (Resale) ส่วนราคาขายโดยเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมระดับเกรดเอที่เสร็จสมบูรณ์แล้วในย่านสุขุมวิทและสาทร รวมทั้งโครงการใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว จะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 70,000 บาท ต่อตารางเมตร
ในอีก 12 เดือนข้างหน้านี้ จะเห็นได้ชัดเจนว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะเป็นไปในทิศทางใด และโครงการที่การก่อสร้างแล้วเสร็จประสบความสำเร็จจริงหรือล้มเหลว เราจะเห็นถึงระดับความต้องการที่แท้จริงของตลาด จะเห็นว่านักลงทุนได้รับผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าเท่าใด และจะเห็นว่าผู้ที่ซื้อเพื่อเก็งกำไรสามารถขายห้องชุดได้เร็วและได้รับผลตอบแทนมากเท่าใดจากการขายดังกล่าว
ใช่ว่าทุกโครงการที่เกิดขึ้นจะประสบความสำเร็จ ทว่าเฉพาะโครงการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเท่านั้นที่จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ที่ซื้อเพื่อเข้าอยู่อาศัยหรือผู้เช่าห้องพัก ในระยะเวลาอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จะเป็นช่วงเวลาที่เราจะเห็นว่ามีโครงการใหม่ๆ เปิดตัวเพียงไม่กี่โครงการ และเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นเมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ
ตัวอย่างที่ดีมากที่แสดงให้เห็นว่า โครงการระดับเกรดเอจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร ก็คือ โครงการโดมัส เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับเกรดเอ ประกอบด้วยห้องชุดจำนวน 108 ยูนิต ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 4.5 ไร่ ซึ่งขณะนี้ 70% ของห้องชุดที่เสนอขายได้ถูกจับจองเรียบร้อยแล้ว
เหตุผลที่ทำให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จ ก็เนื่องมาจาก ผู้ซื้อมีความเชื่อมั่นในบริษัท เกษตรพร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการ และคุณลักษณะที่โดดเด่น อาทิ มีความหนาแน่นของผู้พักอาศัยน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนพื้นที่ขายต่อพื้นที่โครงการที่มีขนาดใหญ่ รวมทั้ง ผู้ซื้อมีความเชื่อมั่นในคุณภาพของโครงการ โครงการโดมัสได้แสดงให้เห็นว่า ยังมีความเป็นไปได้อย่างมากที่โครงการใหม่ๆ จะประสบความสำเร็จ แม้ภาวะการแข่งขันในตลาดจะรุนแรงก็ตาม
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
คุณอลิวัสสา พัมนถาบุตร
กรรมการบริหาร
โทร. 02 654 1111 ต่อ 201
คุณงามใจ เจียรจรัส
ผู้ช่วยฝ่ายประชาสัมพันธ์
โทร. 02 654 1111 ต่อ 223--จบ--
--อินโฟเควสท์ (กภ)--