กรุงเทพฯ--24 ก.ย.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวสำหรับหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ครั้งที่ 3/2555 ของ บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC (ซึ่งมีอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘A(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ F1(tha)) มูลค่าไม่เกิน 6.5 พันล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2562 ที่ระดับ ‘A(tha)’ โดยเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่นี้จะนำมาใช้สำหรับการลงทุนในอนาคต
อันดับเครดิตของ SCC สะท้อนถึงการที่บริษัทฯ มีการกระจายความเสี่ยงของแหล่งที่มาของรายได้จากธุรกิจต่างๆ ซึ่งได้แก่ ธุรกิจปิโตรเคมี ปูนซีเมนต์ กระดาษ และวัสดุก่อสร้าง นอกจากนี้สถานะความเป็นผู้นำในตลาดภายในประเทศของธุรกิจปูนซีเมนต์และกระดาษน่าจะช่วยรักษาความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯในช่วงที่สภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจปิโตรเคมียังคงมีความท้าทายอยู่สูงในปี 2555
วัฏจักรขาลงของธุรกิจปิโตรเคมีในปัจจุบันได้กดดันความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ ซึ่งส่งผลให้ อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) สำหรับ 12 เดือนล่าสุด เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.8 เท่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 จากระดับ 3.1 เท่า ณ สิ้นปี 2554 อย่างไรก็ตามฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ จะปรับตัวดีขึ้นในปี 2556 จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบของธุรกิจปิโตรเคมีที่น่าจะปรับตัวดีขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่คาดว่าจะน้อยลง
อันดับเครดิตของบริษัทฯถูกลดทอนโดยปัจจัยเสี่ยงจากการที่บริษัทฯ ต้องเผชิญกับความผันผวนของธุรกิจปิโตรเคมีและกระดาษ นอกจากนี้กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทฯยังคงมีความเสี่ยงจากราคาพลังงานที่สูง ในขณะที่สภาวะอุปทานส่วนเกินในธุรกิจปูนซีเมนต์ส่งผลให้มีการแข่งขันทางด้านราคาเป็นครั้งคราว ซึ่งอาจทำให้อัตราส่วนกำไรของบริษัทฯ ลดลงในบางช่วงอีกด้วย นอกจากนี้ ความสามารถที่จำกัดในการกำหนดราคาในกลุ่มสินค้าประเภทโภคภัณฑ์ของธุรกิจปูนซีเมนต์ ปิโตรเคมี และกระดาษยังเป็นปัจจัยลบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ โดยเฉพาะในช่วงวัฏจักรขาลงของธุรกิจอีกด้วย
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก
- การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของสัดส่วนของกระแสเงินสดที่มาจากธุรกิจในต่างประเทศ
- อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากและต่อเนื่อง
- อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) ที่ต่ำกว่า 2.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยลบ
- อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขาย รวมถึงกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ที่ลดลงอย่างมากและต่อเนื่อง
- สถานะทางการเงินของบริษัทฯ ที่อ่อนแอลงจากวัฏจักรขาลงของธุรกิจปิโตรเคมีที่ต่อเนื่องยาวนานกว่าที่คาด หรือ จากการเข้าซื้อกิจการด้วยเงินลงทุนที่สูง ซึ่งทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) สูงกว่า 3.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง