กรุงเทพฯ--26 ก.ย.--สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
การประชุมทางวิชาการภูมิภาคเอเชียครั้งนี้ มีการนำเสนอผลงานวิจัยโดยนักวิจัยจาก 5 ประเทศในเอเชีย โดยมีสาระสำคัญซึ่งสะท้อนปัญหาและวิธีดำเนินการของแต่ละประเทศ โดยนักวิจัยจากจีน (ศาสตราจารย์ หลิงลี และ ดร. คิวลิน เฉิน) นำเสนอว่า จีนซึ่งมีประชากรมากที่สุดในโลกมีประชากรอายุ 60 ขึ้นไปถึงร้อยละ 12 ในปี 2553ซึ่งคำนวณว่าจะเพิ่มเป็นหนึ่งในสามของประชากรรวมในปี 2593 ทำให้จีนมีประชากรสูงอายุมากที่สุดในโลก จีนประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและช่วยให้ประชาชนจีนจำนวนนับล้านพ้นจากความยากจนและขณะนี้จีนมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นที่สองของโลกถึงแม้ว่ารายได้ต่อประชากรยังอยู่ในระดับปานกลาง แต่แม้จีนจะประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจ ระบบความคุ้มครองทางสังคมยังนับว่าล้าหลัง ตัวอย่างเช่น จีนกำลังประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำของรายได้ ทำให้หลายครัวเรือนต้องต่อสู้กับค่าใช้จ่ายเพื่อความต้องการพื้นฐานเช่นด้านสุขภาพอนามัย และการศึกษาซึ่งแต่ก่อนไม่จำเป็นต้องจ่าย(เพราะรัฐดูแล)
การศึกษาของทีมวิจัยจีนพบสิ่งน่าสนใจหลายประการ ประการแรกคือ ถึงแม้จีนจะนับถือลัทธิขงจื๊อซึ่งต้องดูแลปรนนิบัติผู้สูงอายุ การวิจัยพบว่าการให้เงินช่วยเหลือจากครอบครัวต่างๆแก่ผู้สูงอายุกำลังหดหายโดยในทางตรงข้ามความช่วยเหลือจากภาครัฐกำลังมีบทบาทมากขึ้น เช่น ในปี 2545 หนึ่งในสามของการใช้จ่ายของผู้สูงอายุมาจากเงินบำนาญ อีกหนึ่งในสามมาจากรายได้จากการทำงาน ร้อยละ 10 จากการออมและทรัพย์สิน ร้อยละ 10 จากครอบครัวหรือญาติ และอีกร้อยละ 10จากบริการสุขภาพจากภาครัฐ การเกื้อหนุนผู้สูงอายุในลักษณะนี้คล้ายกับสหรัฐและญี่ปุ่นในปี 2543 ประการที่สอง คือค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาสุขภาพเพิ่มสูงขึ้นในทุกกลุ่มอายุ ระหว่างปี 2545 ถึง 2552 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่าใช้จ่ายดังกล่าวเพิ่มขึ้นสองเท่าสำหรับผู้สูงอายุ ในช่วงเวลาดังกล่าว ค่าใช้จ่ายเพื่อสุขภาพที่ประชาชนต้องจ่ายเองลดลงจาก ร้อยละ 60 เหลือประมาณร้อยละ 30 ทั้งนี้เนื่องจากค่าใช้จ่ายโดยรัฐ นักวิจัยจีนคาดว่าค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาสุขภาพโดยรัฐจะเพิ่มเป็นร้อยละ 8.1 ของ GDP ในปี 2573 เป็นร้อยละ 11.5 ของ GDP ในปี 2595 ซึ่งถือว่าสถานการณ์ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพน่าเป็นห่วง หากประชากรสูงอายุเพิ่มจำนวนมากขึ้น ผู้วางนโยบายจีนต้องวางแผนแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้โครงการสุขภาพดำเนินต่อไปได้ หรือมีความยั่งยืน ปัญหาเชิงนโยบายอีกประการหนึ่งคือ อายุเกษียณ การขยายอายุเกษียณช่วยให้ผู้สูงอายุได้ทำงานนานขึ้นเพื่อการใช้จ่ายในวัยชรา อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจก็ต่อเมื่อมีการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตหรือการทำงานของผู้สูงอายุ
อินเดีย (โดยศาสตราจารย์ ไลชแรม ลาดูซิง จากสถาบันประชากรศึกษานานาชาติ (IIPS) และศาสตราจารย์ ม.ร.นารายาณา จากสถาบันการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ (ISEC) ) อินเดียมีประชากรมากเป็นอันดับสองของโลกมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอายุของประชากรอย่างมากเช่นกัน เป็นที่คาดว่าสัดส่วนของประชากร อายุต่ำกว่า 20 ปี จะลดจาก ร้อยละ 41 ในปี 2553 เป็นร้อยละ22 ในปี 2593 ในขณะที่สัดส่วนของประชากรอายุ 60 ขึ้นไป จะเพิ่มจากร้อยละ 8 ในปี 2553 เป็นร้อยละ 19ในปี 2593
นักวิจัยอินเดียใช้วิธี NTA คำนวณความเพียงพอของการคุ้มครองทางสังคมโดยรัฐและประชาชน ในการวิเคราะห์ดังกล่าวได้ศึกษาความแตกต่างระหว่างเพศของรายได้จากการทำงานและการใช้จ่ายตลอดจนบทบาทและความสำคัญเศรษฐกิจนอกระบบในการพัฒนาเศรษฐกิจของอินเดีย
ผลการศึกษาพบสิ่งน่าสนใจคือ ประการแรก อินเดียไม่เหมือนกับประเทศอื่นในเอเซียคือผู้สูงอายุจะไม่ค่อยได้รับความช่วยเหลือจากคนในครอบครัว ดังนั้นจึงต้องพึ่งรายได้จากทรัพย์สินและการออม ตัวอย่าง ในปี 2547 ร้อยละ 63 ของค่าใช้จ่ายเพื่อบริโภคผู้สูงอายุมาจากรายได้จากทรัพย์สินและการออม ร้อยละ 9.5 มาจากรัฐ ร้อยละ 6.7 จากคนในครอบครัว และที่เหลือมาจากรายได้จากการทำงาน ประการที่สอง เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในเอเซีย อินเดียยังมีเวลาเหลือที่ผลจากการที่มีแรงงานมีสัดส่วนสูง (เรียกว่าการปันผลทางประชากรครั้งแรก) ซึ่งจะทอดไปถึงปี 2583 ประการที่สาม การศึกษาความแตกต่างระหว่างเพศในด้านการใช้จ่ายบริโภคด้านสุขภาพ การศึกษา และสินค้าบริการอื่นๆพบว่า ในภาพรวม ผู้ชายใช้จ่ายบริโภคมากกว่าผู้หญิงและพบความแตกต่างของรายได้จากการทำงานโดยผู้ชายมีรายได้มากกว่าถึง 5.5 เท่าของผู้หญิง ประการที่สี่ เศรษฐกิจในระบบมีประสิทธิภาพแรงงานมากกว่าแรงงานนอกระบบ ดังนั้นนักวิจัยทั้งสองคนจึงเน้นการกำหนดนโยบายเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของแรงงานนอกระบบ จากการคำนวณพบว่าถ้าให้ผลผลิตรวมของเศรษฐกิจนอกระบบเพิ่มขึ้นสองเท่าในปี 2547 เศรษฐกิจของอินเดียจะขยายตัวถึงร้อยละ 17 ต่อปี ระหว่างปี 2549 ถึง 2593 นอกจากนั้นแล้ว ศาสตราจารย์ทั้งสองท่านได้แนะนำรัฐบาลให้เพิ่มการช่วยเหลือด้านสุขภาพ บำนาญ และการคุ้มครองทางสังคมแก่ผู้สูงอายุ โดยเขากล่าวว่าแม้การให้สวัสดิการสังคมจะมีอยู่แล้วแต่ก็ยังไม่มีความครอบคลุมเพียงพอและไม่เทียบได้กับค่าใช้จ่ายในระดับประทังชีวิต
ฟิลิปปินส์ (โดยดร. อานิเซโต ออร์เบตตา และนาย ไมเคิล อาบริโก) ฟิลิปปินส์มีประชากร88 ล้านคนในปี 2550 และคำนวณว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น142 ล้านคนในปี2583ในช่วงเวลาดังกล่าวประชากรวัยเด็กยังเพิ่มขึ้นทำให้ต้องลงทุนให้การศึกษาและบริการสุขภาพอยู่ ฟิลิปปินส์ยังอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางประชากรซึ่งจะเห็นได้จากการเปลี่ยนโครงสร้างอายุและการเพิ่มขึ้นของวัยทำงานซึ่งต่อไปก็จะกลายเป็นผู้สูงอายุในที่สุด การศึกษา NTA ของฟิลิปปินส์ให้ความสนใจเรื่องความต้องการการศึกษาของประชากรวัยรุ่นและเด็ก กับจำนวนที่เพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุ การคำนวณประชากรวัยเรียนภายใต้ข้อสมมติของโครงสร้างการศึกษาที่ได้รับงบประมาณจากรัฐและเอกชนพบว่าสัดส่วนนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และการลดสัดส่วนของค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาทั้งต่อคนและรวมทั้งประเทศตลอดจนการเพิ่มสัดส่วนของการศึกษาที่จัดโดยภาคเอกชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่มีรายได้ต่ำสุด ซึ่งอาจเป็นผลให้กลุ่มผู้มีรายได้ต่ำมีอัตราการเข้าเรียนต่ำ รัฐบาลจึงควรเข้ามาดูแลงบประมาณด้านการศึกษาอย่างจริงจัง จากการคำนวณยังพบว่าถ้าผู้สูงอายุมีรายได้จากการทำงานเพิ่มขึ้น ก็จะเพิ่มการใช้จ่ายในการบริโภคของผู้สูงอายุ เพิ่มอายุที่จะพึ่งพาตนเองไม่ได้ ลดภาระรายได้ตลอดวงจรชีวิตติดลบลงได้ ดังนั้นจึงควรวางนโยบายเพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุอยู่ในตลาดแรงงานมากขึ้นด้วยการลงทุนปรับปรุงภาวะสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุรวมทั้งการขยายโอกาสในการทำงานของผู้สูงอายุ
ไทย (โดย รศ.ดร.มัทนา พนานิรามัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และนางสาวทัศนาพร ขันธะยศ จาก TDRI) ประเทศมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในเกณฑ์ดีแต่ก็มีความเหลื่อมล้ำระหว่างประชากรในเมืองและชนบททั้งในด้านการศึกษา การบริโภค ลักษณะของงาน รายได้จากการทำงาน การศึกษา NTA ของไทยจึงเน้นในประเด็นเหล่านี้ การศึกษาดังกล่าวเปรียบสถานการณ์ในปี 2547 กับ2552 และความแตกต่างระหว่างในเมืองกับชนบทในปี 2552 การศึกษาพบว่าโดยเฉลี่ยประชากรในชนบทใช้จ่ายบริโภคประมาณการบริโภคโดยประชากรในเมืองซึ่งความแตกต่างดังกล่าวสูงมากในปี2552และกระทบต่อผู้สูงอายุมากที่สุด การบริโภคภาครัฐช่วยลดความเหลื่อมล้ำ โดยการใช้จ่ายจากภาครัฐช่วยการใช้จ่ายเพื่อการศึกษาเท่าเทียมกันมากขึ้นแต่ไม่ได้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการใช้จ่ายเพื่อสุขภาพมากนัก ความแตกต่างของรายได้จากการทำงานระหว่างประชากรในเมืองและชนบทต่างกันมาก โดยเฉลี่ยประชากรชนบทมีรายได้ประมาณร้อยละ 40ของประชากรในเมือง ดังนั้น ในเชิงนโยบายการศึกษาของไทยมีข้อเสนอแนะให้ปรับปรุงคุณภาพของการให้บริการสุขภาพในชนบทโดยการพัฒนาคุณภาพของศูนย์อนามัยหรือโรงพยาบาลชุมชน นอกจากนั้นแล้วยังเสนอว่าการสร้างงานและให้ความสนับสนุนเพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของแรงงานที่ทำงานส่วนตัวจะมีความสำคัญต่อการลดความเหลื่อมล้ำระหว่างประชากรในเมืองและในชนบท
งานวิจัยของไทยยังพบว่าแม้มาตรฐานการครองชีพของไทยที่วัดด้วยการบริโภคต่อหัวจะดีขึ้น แต่สำหรับผู้สูงอายุยังไม่ดีขึ้น ค่าใช้จ่ายการบริโภคของภาครัฐเพิ่มเร็วขึ้นกว่าภาคเอกชนและเป็นปัจจัยสำคัญต่อการยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชน ในช่วง 2547-2552 อัตราการเพิ่มของรายได้จากการทำงานต่อหัวต่ำกว่าอัตราการเพิ่มของการบริโภคต่อหัวซึ่งเป็นผลให้ค่าติดลบของค่าใช้จ่ายและรายได้ตลอดช่วงชีวิตเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า
โดยสรุปงานวิจัยนี้ให้ข้อเสนอแนะด้านนโยบายหลายประการ ประการแรกเสนอให้เพิ่มการจ้างงานของผู้สูงอายุและผู้หญิง โดยการขยายอายุเกษียณหรือการเพิ่มประสิทธิการผลิตของแรงงานนอกระบบเป็นต้น ประการที่สองเสนอให้ตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ (ขณะนี้เริ่มตั้งไปแล้วแต่ยังมีปัญหา) เพื่อเป็นหลักประกันยามชราภาพให้ผู้สูงอายุ ประการที่สามเสนอให้ปรับปรุงคุณภาพระบบบริการสุขภาพเพื่อรองรับประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้น
เวียตนาม (โดยนางฟาม มิน ธู และ นายฟาม วอก ตวนจากสถาบันแรงงาน วิทยาศาสตร์และการสังคม (ILSSA) ของเวียดนาม) เวียตนามซึ่งมีประชากรประมาณ 90 ล้านคนเป็นอีกประเทศหนึ่งที่กำลังมีการลดอัตราการเกิดอย่างรวดเร็ว อัตราการเกิดรวมลดจากร้อยละ 5.25 ในปี 2522 เหลือร้อยละ 2 ในปี 2552 ประชากรอายุ 60 ขึ้นไปจะมีสัดส่วนร้อยละ 10 ในปี 2560 ดังนั้นเวียดนามจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในเวลาไม่นาน คนเวียดนามเริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงานตั้งแต่อายุยังน้อยแต่อัตราค่าจ้างในเวียดนามต่ำมาก ที่น่าสังเกตคือมากกว่าสองในสามของรายได้จากการทำงานมาจากแรงงานในระบบ(แรงงานที่ได้รับค่าจ้างหรือเงินเดือน)ซึ่งมีอยู่เพียงหนึ่งในสามของแรงงานทั้งหมด ทั้งนี้หมายความว่าประสิทธิภาพการผลิตของแรงงานนอกระบบต่ำมาก จากผลงานวิจัย นักวิจัยของเวียดนามเสนอแนะให้เพิ่มการลงทุนในแรงงานเยาวชน สร้างงานนอกภาคเกษตร และพัฒนาการคุ้มครองทางสังคมสำหรับแรงงานนอกระบบ
นักวิจัยเวียตนามยังคำนวณว่าการปันผลทางประชากร (ช่วงที่ประเทศมีแรงงานที่มีประสิทธิภาพเป็นสัดส่วนสูง)จะมีเวลา 43 ปี ตั้งแต่ 2522 ถึง2562 ดังนั้นเวียดนามเหลือเวลาที่จะชื่นชมการปันผลดังกล่าวอีกไม่กี่ปี โดยเหตุที่นักวิจัยทีมนี้คำนวณช่วงการปันผลทางประชากรด้วยวิธี NTA ให้ข้อมูลที่ละเอียดมากกว่าวิธีเดิมๆโดยคำนึงถึงประสิทธิภาพการผลิตของแรงงานด้วย ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวรัฐบาลจึงจำเป็นต้องเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของแรงงาน นอกจากนั้นแล้วเมื่อพิจารณาความแตกต่างระหว่างเพศ การวิจัยพบว่าผู้ชายมีรายได้จากการทำงานมากกว่าและช่วงชีวิตในการทำงานยาวกว่าผู้หญิง ทำให้ช่วงการปันผลทางประชากรของผู้ชายนานกว่าผู้หญิงประมาณ 5 ปี