กรุงเทพฯ--27 ก.ย.--บลจ.ไทยพาณิชย์
นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย รองกรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมออกกองทุนใหม่ที่ลงทุนในต่างประเทศ อีกจำนวน 2 กองทุน ในสินทรัพย์โภคภัณฑ์ ประกอบด้วย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ คอมมอดิตี้ พลัส (SCB COMMODITY PLUS FUND :SCBCOMP) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ออยล์ (SCB Oil FUND : SCBOil) เสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 25 กันยายน - 1 ตุลาคมศกนี้ ด้วยเงินลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท
สำหรับกองทุนเปิดไทยพาณิชย์คอมมอดิตี้ พลัส เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) คือ กองทุน PIMCO Commodities PLUS Strategy Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของประเทศไอร์แลนด์ (Ireland) และอยู่ภายใต้ UCITS บริหารจัดการโดย PIMCO Global Advisors (Ireland) Limited เน้นการลงทุนเพื่อเลียนแบบดัชนีที่อ้างอิงกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ Dow Jones-UBS Commodity Index Total Return ซึ่งเป็นดัชนีที่กระจายการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ แบ่งได้เป็น 6 หมวดหลัก ได้แก่ พลังงาน โลหะมีค่า โลหะเพื่อการอุตสาหกรรม ปศุสัตว์ ธัญพืช และธัญพืชเขตร้อน โดยกองทุนหลักจะลงทุนในธุรกรรม/ตราสารอนุพันธ์ ทำสัญญาแลกเปลี่ยนตราสาร (swap agreement) ต่าง ๆ สัญญาฟิวเจอร์ สัญญาออปชั่น ตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง และ/หรือหุ้นกู้อนุพันธ์ที่อ้างอิงกับดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการที่จะลงทุนให้ได้ผลตอบแทนตามดัชนีที่อ้างอิง ทั้งนี้ กองทุนจะลงทุนในกองทุนหลักดังกล่าวเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน กองทุน PIMCO Commodities PLUS Strategy Fund มีผลตอบแทนย้อนหลัง(สกุลดอลลาร์สหรัฐ) 3 เดือนอยู่ที่ 14.13% ย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ -8.79% และย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 8.25%
“ราคาสินทรัพย์โภคภัณฑ์ในตลาดโลกได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 14% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา โดยมองว่าปัจจัยบวกที่จะส่งผลต่อราคาสินทรัพย์โภคภัณฑ์คือความเสี่ยงเกี่ยวกับสถานภาพทางการเงินของทวีปยุโรปที่ลดลงจากความช่วยเหลือของธนาคารกลางยุโรป มาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE3) จากธนาคารกลางสหรัฐฯ การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลดกันสำรองของธนาคารโดยรัฐบาลจีน และการลดดอกเบี้ยในหลายประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยส่งเสริมให้เศรษฐกิจโลกในปีหน้ามีโอกาสฟื้นตัวและเพิ่มความต้องการของการใช้สินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐจากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณครั้งที่ 3 (QE3) โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ไม่ได้กำหนดปริมาณและระยะเวลาในการเข้าซื้อพันธบัตร พร้อมจะดำเนินมาตรการจนกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีสัญญาณฟื้นตัว นอกจากนี้ ต้นทุนของเงินทุนในระดับต่ำจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศยืดระยะเวลาคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.25% ไปจนถึงกลางปี และระดับเงินฝากที่ 0% จากนโยบายของธนาคารกลางยุโรป โดยต้นทุนของเงินที่ต่ำถือเป็นปัจจัยที่จะทำให้นักลงทุนมีความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น” นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว
ส่วนกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ออยล์ เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) คือ PowerShares DB Oil Fund ซึ่งเป็นกองทุนรวมอีทีเอฟที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York stock Exchange : NYSE Arca) บริหารจัดการโดย DB Commodity Services,LLC มีนโยบายลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI) เพื่อให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี DBIQ Optimum Yield Crude Oil Index Excess Return ซึ่งเป็นดัชนีที่มุ่งสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI) โดยกองทุนจะลงทุนในกองทุนหลักดังกล่าวเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
ทั้งนี้ทั้งสองกองทุนดังกล่าวได้ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับสกุลเงินบาท ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนในต่างประเทศตลอดเวลา สำหรับผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ SCBAM Call Center โทร.02-777-7777 กด 0 กด 6