กรุงเทพฯ--1 ต.ค.--ธนาคารยูโอบี
ธนาคารยูโอบี ในประเทศไทย ขานรับนโยบายของกลุ่มธนาคารยูโอบีในการรุกตลาดเอสเอ็มอี ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งเป้าเติบโตสินเชื่อเอสเอ็มอีทั่วภูมิภาคเพิ่มเป็น 2 เท่าภายใน 3 ปี
นางสยุมรัตน์ มาระเนตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารยูโอบี จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มธนาคารยูโอบีเล็งเห็นความสำคัญของภาคธุรกิจเอสเอ็มอีในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศและของทั้งภูมิภาค ด้วยความเชื่อมั่นที่มีต่อศักยภาพของภาคธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารจึงวางเป้าหมายการเติบโตสินเชื่อเอสเอ็มอีของกลุ่มธนาคารในสี่ประเทศที่เป็นตลาดหลักของเครือข่ายธนาคารในภูมิภาค ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
นายวิกเตอร์ ลี UOB Group Head of Business Banking กลุ่มธนาคารยูโอบี ในประเทศสิงคโปร์ เปิดเผยว่า ธนาคารวางกลยุทธ์การเติบโตสินเชื่อเอสเอ็มอีด้วยการลงทุนที่ต่อเนื่องเพื่อดึงดูดกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และอาศัยเครือข่ายตลอดจนประสบการณ์กว่า 70 ปีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการขยายธุรกิจในแต่ละประเทศไปสู่ระดับภูมิภาค ปีที่ผ่านมา กลุ่มธนาคารยูโอบีลงทุนกว่า 375 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเครื่องมือในการสมัครสินเชื่อ ช่วยลดขั้นตอนการขออนุมัติสินเชื่อและเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อม
นายวิกเตอร์ ระบุว่าปัจจัยหลักที่เอื้อต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาจากการใช้จ่ายด้านอุปโภคบริโภคภายในประเทศของภาคเอกชน ตลอดจนการใช้จ่ายและลงทุนจากภาครัฐ ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ย ของการกู้ยืมสินเชื่ออยู่ในระดับต่ำอย่างเช่นปัจจุบัน นับว่าเป็นโอกาสดีสำหรับธุรกิจขนาดย่อมที่จะใช้สินเชื่อเพื่อขยายตลาดใหม่ๆ สร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจ หรือใช้สินเชื่อเพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุนหมุนเวียน
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ในแต่ละประเทศที่ชี้ให้เห็นแนวโน้มเชิงบวกของเศรษฐกิจในภูมิภาค เช่น อัตราค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น การฟื้นฟูและบูรณะที่อยู่อาศัยและสาธารณูปโภคหลังน้ำท่วมในประเทศไทย การนำนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำในภาคเอกชนมาใช้ในมาเลเซีย การเติบโตของการบริโภคภายในประเทศของอินโดนีเซียซึ่งส่งผลต่อจีดีพีของประเทศถึง 40% ใน 3 ไตรมาสแรกของปี และการเติบโตของภาคธุรกิจต่างๆ ที่สัมพันธ์กับการท่องเที่ยว ค้าปลีก อาหาร เครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมยาและเภสัชกรรม ซึ่งคาดว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักการเติบโตเศรษฐกิจของสิงคโปร์
นายวิกเตอร์ชี้ว่า ธุรกิจเอสเอ็มอีในปัจจุบัน มีความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมจำนวนมากเริ่มสร้างโรงงานและสำนักงานเป็นของตนเอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจขนาดย่อมปัจจุบันมีการวางแผนธุรกิจ มีโครงสร้างเงินทุนและความแข็งแกร่งทางการเงินมากกว่าที่ผ่านมา ยูโอบีในฐานะสถาบันการเงินที่มีงบดุลแข็งแกร่ง เครือข่ายและประสบการณ์ที่ครอบคลุมทั่วภูมิภาค อีกทั้งบุคลากรที่เข้าใจตลาดในแต่ละประเทศ จึงมีความพร้อมมากกว่าในฐานะธนาคารระดับภูมิภาคที่จะให้คำปรึกษา ช่วยลูกค้าในการมองหาโอกาสเติบโตและสร้างธุรกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว
“นับวันกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีมีความต้องการมากกว่าแค่สมุดเช็ค หรือวงเงินสินเชื่อในการทำธุรกิจ ลูกค้ามองหาสถาบันการเงินที่มีความเชี่ยวชาญในตลาดภูมิภาค ความเข้าใจในธุรกิจอย่างแท้จริง ที่สามารถตอบสนองความต้องการด้านสินเชื่อ และทางเลือกด้านการเงินอื่นๆ แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี” นายวิกเตอร์กล่าว
ในด้านการให้บริการลูกค้าธุรกิจเอสเอ็มอี นายวิกเตอร์อธิบายว่า ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลุ่มธนาคารยูโอบีในประเทศสิงคโปร์มีศูนย์ธุรกิจกว่า 100 แห่ง และทีมลูกค้าสัมพันธ์ที่ดูแลกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีโดยเฉพาะ ซึ่งทีมงานดังกล่าวจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกันทั่วภูมิภาค เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และประสบการณ์กับแต่ละประเทศ ในประเทศไทย ยูโอบีมีสาขากว่า 150 แห่งที่พร้อมให้บริการและประสานงานกับทีมผู้เชี่ยวชาญธุรกิจเอสเอ็มอีระดับภูมิภาคเพื่อสนองตอบความต้องการและช่วยเหลือลูกค้าธุรกิจขนาดย่อมได้อย่างใกล้ชิด