กรุงเทพฯ--3 ต.ค.--กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และนางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ สมจินต์ ศรไพศาล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และนายคเณศ วังส์ไพจิตร ผู้อำนวยการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ได้เข้าร่วมการพบปะนักลงทุน (Roadshow) ในหัวข้อเรื่อง “Thailand: Positioning for Growth and Stability” เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2555 ณ โรงแรม St. Regis นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยมีผู้บริหารจากบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำของสหรัฐฯ กว่า 60 รายเข้าร่วมรับฟังสรุปสาระสำคัญของการพบปะนักลงทุน ดังนี้
นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวต้อนรับและให้ความมั่นใจแก่นักลงทุนสหรัฐฯ ว่า เศรษฐกิจไทยได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่องและมั่นคง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากเสถียรภาพทางการเมือง พื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่ดี และนโยบายของรัฐบาลในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจฐานราก ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้ปรับเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 65 เป็นอันดับต้นๆ ของโลก นอกจากนี้ เสถียรภาพของเศรษฐกิจไทยอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งจาก ระดับทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพียงพอรองรับหนี้ต่างประเทศระยะสั้น สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่ต่ำ และระดับอัตราเงินเฟ้อที่เหมาะสม
นายกิตติรัตน์ กล่าวเสริมว่า ในระยะต่อไป รัฐบาลมีแผนที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานกว่า 2.27 ล้านล้านบาท ทั้งในด้านโครงข่ายการขนส่งทางบก ทางน้ำ และอากาศ รวมทั้งระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์และเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค อันจะเป็นการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
นายอาคม กล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา นโยบายของรัฐบาลในการเสริมสร้างรายได้และลดรายจ่ายให้ประชาชนได้ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของอุปสงค์ภายในประเทศ อันเป็นการช่วยลดการพึ่งพาการส่งออก ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ดีภายใต้ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ ความแข็งแกร่งของอุปสงค์ภายในประเทศ ประกอบกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจะเป็นแรงขับเคลื่อนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
นายอารีพงศ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันนับว่ามีเสถียรภาพมากกว่าในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ทั้งจากความสมดุลระหว่างตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร และธนาคารพาณิชย์ อันเป็นการลดการพึ่งพาการระดมทุนผ่านธนาคารพาณิชย์เพียงอย่างเดียวดังเช่นในอดีต และความเพียงพอของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศต่อหนี้ต่างประเทศระยะสั้น นอกจากนี้ เสถียรภาพทางการคลังอยู่ในระดับดี จากสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในปัจจุบันที่อยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลัง การปรับเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายภาครัฐ รวมทั้งเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนซึ่งจะช่วยลดภาระทางการคลัง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังมีแผนที่จะเข้าสู่งบประมาณสมดุลในอีก 4-5 ปีข้างหน้า
นายจักรกฤศฏิ์ ได้เชิญชวนให้นักลงทุนสหรัฐฯ เข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ของไทย โดยกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดตราสารหนี้ได้มีพัฒนาการที่สำคัญหลายประการ ทั้งในด้านความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้ ผ่านการออกพันธบัตรรัฐบาลในรูปแบบใหม่ อาทิ พันธบัตรรัฐบาลที่ผลตอบแทนอ้างอิงกับอัตราเงินเฟ้อ (inflation-linked bonds) และการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ให้นักลงทุนรายย่อยผ่านตู้ ATM (electronic retail bond) เป็นต้น และในด้านการเสริมสร้างสภาพคล่องของตลาดตราสารหนี้ไทย ผ่านการขยายช่วงอายุของพันธบัตรรัฐบาลอ้างอิง (benchmark bond) ออกไปถึง 50 ปี พัฒนาการของตลาดตราสารหนี้ไทยดังกล่าว ส่งผลให้ตราสารหนี้ไทยเป็นที่สนใจมากจากนักลงทุนต่างประเทศ
นายไพบูลย์ ได้เชิญชวนให้นักลงทุนสหรัฐฯ เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นของไทย โดยกล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยได้ปรับสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยสำคัญจากความมั่งคั่งและกำลังซื้อของประชาชนที่เพิ่มขึ้น และการเร่งตัวของการลงทุนภาคเอกชน อันส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปรับเพิ่มขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้ นายไพบูลย์เห็นว่า แม้ว่าในช่วงปีที่ผ่นมา ตลาดหุ้นไทยได้ปรับสูงขึ้นกว่าร้อยละ 25 แต่ยังมีศักยภาพที่จะสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้อีก จากสัดส่วน P/E ของไทยที่ 12 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของสัดส่วน P/E ในภูมิภาคที่ 13-14 เท่า