mai เผยหุ้นยังน่าสนใจ วางกลยุทธ์เพิ่มบริษัทจดทะเบียนและมูลค่าซื้อขาย ดันมาร์เก็ตแค็ปต่ออีกกว่า 2 หมื่นล้าน

ข่าวทั่วไป Tuesday April 5, 2005 11:08 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--5 เม.ย.--SET
นายวิเชฐ ตันติวานิช ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอไอ (mai) เปิดเผยว่าในปี 2548 นี้ หลักทรัพย์ใน mai ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ มูลค่าการซื้อขายของ mai เพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยวันละ 199 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 275 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีการซื้อขายเฉลี่ยเพียงวันละ 53.06 ล้านบาท ในขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 11,938 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 48 โดยมีบริษัทจดทะเบียน 24 บริษัท และมีมูลค่าการระดมทุนทั้งสิ้นจำนวน 3,213 ล้านบาท
ด้านอัตราหมุนเวียนการซื้อขายหลักทรัพย์ (Turnover Ratio) เฉลี่ยในไตรมาสแรก เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 151 หรือเพิ่มขึ้นเป็น 1.03 เท่า ในขณะที่ไตรมาสเดียวกันของปี 2547 เท่ากับ 0.41 ทั้งนี้คาดว่าตลอดปี 2548 นี้ Turnover ratio น่าจะอยู่ที่ประมาณ 4.12 เท่า
ทั้งนี้ หากพิจารณาค่าอัตราส่วนของกำไรสุทธิต่อหุ้นต่อราคาหุ้น (Earning to Price Ratio : EPR) ซึ่งแสดงให้เห็นผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนใน mai เมื่อเปรียบเทียบกับเงินฝากประจำ 12 เดือนในปี 2547 มีอัตราร้อยละ 8.78 และคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 9.57 ในไตรมาสแรกของปี 2548 ในขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ร้อยละ 5.4 สูงกว่าอัตราของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งอยู่ที่ 3.87 โดยอัตราดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.4 ในปีก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 286
“คาดว่าสิ้นปีนี้ mai จะมีมูลค่าหลักทรัพย์จดทะเบียนตามราคาตลาดเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 22,800 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 2548 หรือเฉลี่ยบริษัทละ 500 ล้านบาทจำนวน 40 บริษัท โดยในปี 2548 นี้ mai จะใช้กลยุทธ์การตลาดทั้งด้านการเพิ่มบริษัทจดทะเบียน และผู้ลงทุนใน mai ให้มากขึ้น” นายวิเชฐกล่าว
ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2548 mai ได้ร่วมมือกับโบรกเกอร์จัดทำบทวิเคราะห์หุ้นใน mai เพื่อให้นักลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน ซึ่งมีบริษัทหลักทรัพย์ที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรทั้งหมด จำนวน 13 ราย คือ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ซิกโก้ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ทีเอสอีซี จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนิตี้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ อินเทล วิชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด (มหาชน)โดย เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2548 ที่ผ่านมา ได้มีการจัดทำบทวิเคราะห์แล้วรวม 25 บทวิเคราะห์ และจะทยอยเผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ ทั้งเว็บไซต์ www.mai.or.th www.settrade.com หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ หนังสือพิมพ์ทันหุ้น รายการโทรทัศน์ และวิทยุในเครือบริษัทแฟม มิลี่ โนฮาว จำกัด
นอกจากนี้ จะสนับสนุนให้นักลงทุนสถาบันลงทุนใน mai เพิ่มขึ้น โดยจัดตั้งกองทุนรวมเพื่อลงทุนใน mai โดยขณะนี้มี บลจ. ไทยพาณิชย์ให้ความสนใจและอยู่ระหว่างดำเนินการ และจะผลักดันให้สถาบันการลงทุนอื่น ๆ เข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง
สำหรับกลยุทธ์ในการผลักดันบริษัทที่มีศักยภาพให้เข้าระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์ mai ได้กำหนด 2 แนวทางหลัก ได้แก่ 1) การให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการพันธุ์ mai ร่วมกับ SMEs Bank และ 2)ร่วมมือกับที่ปรึกษาทางการเงินและผู้สอบบัญชี
นอกจากนี้ mai ได้ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SMEsBank เพื่อให้สินเชื่อในวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาทเพื่อการเตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียน เช่น การพัฒนาระบบการบริหารจัดการ การแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน ที่ปรึกษากฏหมาย หรือเพื่อลงทุนขยายหรือปรับปรุงกิจการ โดยต้องสามารถเข้าจดทะเบียนได้ภายใน 3 ปี
หรือบริษัทที่จดทะเบียนใน mai แล้ว แต่ต้องการปรับปรุงการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การวางระบบบัญชี ระบบควบคุมสินค้าคงเหลือ ระบบควบคุมภายใน เป็นต้นด้วย โดยบริษัทที่สนใจขอทราบรายละเอียด และยื่นเรื่องกับ SMEs Bank หรือติดต่อผ่าน mai ได้ที่โทร 02-229-2023 ,2026 และ 2028
นายวิเชฐกล่าวด้วยว่า “ในด้านความร่วมมือกับที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้สอบบัญชีนั้น จะมีการสร้างความร่วมมือเพื่ออำนวยความสะดวกแก่บริษัทที่ยื่นคำขอเข้าจดทะเบียนได้เตรียมความพร้อมในประเด็นสำคัญ เช่น การควบคุมภายใน การจัดทำงบการเงิน การขจัดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เพื่อให้บริษัทเข้าจดทะเบียนได้อย่างราบรื่นและรวดเร็วมากขึ้น
ทั้งนี้ จะได้มีการหารือถึงแนวทางการปรับรอบระยะเวลาบัญชีของบริษัทที่ประสงค์จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ไม่ให้ตรงกับบริษัทจดทะเบียนใน SET เพื่อลดการกระจุกตัวของการทำงานของผู้สอบบัญชี ซึ่ง mai จะศึกษาความเป็นไปได้ในบางอุตสาหกรรมก่อนว่าอุตสาหกรรมใดจะเริ่มมีการเปลี่ยนรอบระยะเวลาบัญชีได้บ้าง”
ในขณะเดียวกัน ตลาดหลักทรัพย์ mai ได้ปรับภาพลักษณ์ให้มีความทันสมัยมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มธุรกิจเป้าหมายที่มีผู้ประกอบการเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง โดยล่าสุดได้เปิด mai FANZI Club เพื่อเป็นศูนย์กลางของการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการพันธุ์ mai ซึ่งจะได้มีการร่วมมือเสนอโครงการที่สำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดกลางต่อรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดร.สมคิดจาตุศรีพิทักษ์ ในเร็ว ๆ นี้
ติดต่อส่วนสื่อมวลชนสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กร ลดาวัลย์ กันทวงศ์
โทร. 0-2229 — 2036 / กุลวิดา จินตกะวงส์ โทร. 0-2229 — 2037/
ณัฐพร บุญประภา โทร. 0-2229 — 2049 /
วรรษมน เสาวคนธ์เสถียร โทร. 0-2229-2797--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ